น้ำลดตอผุด เผยอาณาจักร “สอบสวนกลาง” ถูกออกแบบให้มีอำนาจครอบจักรวาลจนนำไปสู่ความเหลวแหลกของสังคมไทย อดีต ผบช.ก. “พงศ์พัฒน์” สืบอำนาจยาวนาน แถมใครแตะขุมทรัพย์ไม่ได้ ตามรอยสารภาพผู้การตำรวจน้ำรับเละส่วยน้ำมันเถื่อน กินกันมันจุกอกเดือนละกว่า 10 ล้าน แสบสุดนายทุนชั่วหว่านเงินให้ขบวนการโจรใต้ป่วน
หากจัดความสำคัญของ “กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” แล้วต้องถือว่าเป็นขุมกำลังหรือกองทัพของตำรวจอย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ต่างๆ ยานพาหนะ กำลังพลครอบคลุมไปทั้งประเทศ โดยโครงสร้างของกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ถูกคิดและออกแบบให้มีอำนาจอย่างครอบจักรวาลมีทั้งสิ้น 11 กองบังคับการ เริ่มจาก 1. กองอำนวยการ มีหน้าที่จัดการความเรียบร้อยต่างๆ ทั้งทางด้านเอกสาร กำลังพลและสนับสนุนด้านอื่นๆ เสมือนเป็นแม่บ้าน 2. กองบังคับการปราบปราม ทำหน้าที่ดูแลคดีสำคัญๆ ทั่วประเทศ 3. กองบังคับการตำรวจทางหลวง จัดการความเรียบร้อยบนถนนทุกสายรอบอาณาจักร 4. กองบังคับการตำรวจรถไฟ 5. กองบังคับการตำรวจท่องเที่ยว 6. กองบังคับการตำรวจน้ำ 7. กองบังคับการเกี่ยวกับการกระทำผิดกับการค้ามนุษย์ 8. กองบังคับการเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ 9. กองบังคับการเกี่ยวกับการทุจรติและประพฤติมิชอบในวงราชการ 10. กองบังคับการเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค และ 11. กองบังคับการเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี
เป็นที่ทราบกันดีว่า ช่วงที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.บารมีเบ่งบานเต็มที่นั้นได้เหมารวมอำนาจไว้กับตัวเองทั้งหมด เขาคือนายตำรวจที่มีอำนาจเต็ม บริหารบุคคลและบริหารนโยบายให้ไปในทิศทางที่วางไว้อย่างเต็มที่ไ ม่ว่าจะผ่านรัฐบาลไหน หรือ ผบ.ตร.คนใด ส่วนใหญ่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเกี่ยวด้วย จนระยะ 2-3 ปีให้หลังฝ่ายบริหารทั้งในส่วนของนักการเมือง และผู้นำองค์กรตำรวจเริ่มมองเห็นสิ่งผิดสังเกตที่มีความต่อเนื่องยาวนานมาหลายปี จึงมีความพยายามต่อรองแชร์อำนาจกัน
ผลสรุปว่า พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ยอมปล่อยจากมือไปหลายกองบังคับการ เหลือเพียงกองบังคับการหลักๆ ที่เขาให้เหตุผลถึงความมั่นคง เช่น ขอดูแลกองบังคับการกองปราบปราม กองบังคับการตำรวจทางหลวง กองบังคับการตำรวจน้ำ กองบังคับการตำรวจเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ เป็นต้น ซึ่งล้วนแต่เป็นขุมอำนาจ
และหากไปใช้ในทางที่ผิดก็ไม่ต่างจากโรงพิมพ์ธนบัตรดีๆ นั่นเอง
คดีความต่างๆ ที่ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีต ผบช.ก.กับพวกที่กำลังเผชิญอยู่นั้นจึงสอดรับกับอำนาจในอดีต เพราะนอกจากมีส่วนพัวพันกับบ่อนใหญ่ต่างๆ แล้วยังมีกรณีของ พล.ต.ต.บุญสืบ ไพรเถื่อน ผู้บังคับการตำรวจน้ำ (ผบก.รน.) ผู้ใต้บังคับบัญชาสายตรงซึ่งตกเป็นผู้ต้องหาเป็นเจ้าพนักงานเรียกรับผลประโยชน์ และประพฤติมิชอบ ที่เมื่อขยายความแล้วต้องย้อนกลับไปดูสถานการณ์ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่มีข่าวมาโดยตลอดว่ามีเจ้าหน้าที่ของรัฐเข้าไปเกี่ยวข้อง โดยขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนมิได้มีผลแค่เพียงผลกระทบทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่การข่าวของฝ่ายความมั่งคงทหารยังระบุว่าเม็ดเงินจำนวนหนึ่งถูกนำไปสนับสนุนกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้อันมี “เสี่ยโจ้ ปัตตานี” หรือนายสหชัย เจียรเสริมสิน เป็นหัวหอกใหญ่
จากการเปิดปากสารภาพของนายตำรวจระดับสูงของกองบังคับการตำรวจน้ำ ยอมรับว่า เมื่อมารับตำแหน่งใหม่ๆ มีส่วยจากขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนราว 3-5 ล้านบาทต่อเดือน แต่ระยะหลังมาถึง 12-15 ล้านบาทต่อเดือน และเมื่อย้อนรอยเส้นทางข่าวก็พบว่า ก่อนรัฐบาลพรรคเพื่อไทยหมดอำนาจ “โจ้ ปัตตานี” ซึ่งมีความคุ้นเคยกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ถึงกับไปรดน้ำดำหัวในช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา เขียนจดหมายน้อยไปถึงทำนองว่าขอพึ่งบารมีอดีตนายกฯ เนื่องจากโดนตำรวจสอบสวนกลาง (พล.ต.ต.โกวิทย์ วงศ์รุ่งโรจน์) กลั่นแกล้งไม่ยอมให้เรือบรรทุกน้ำมันออกนอกฝั่ง แต่ขณะเดียวกันผู้ค้ารายอื่นๆ สามารถออกไปได้ ข้อความในจดหมายเคยปรากฏเป็นข่าวอื้อฉาวมาแล้วก่อนที่นายสหชัย หรือโจ้ ปัตตานี จะหลบหนีระหว่างควบคุมตัวไปพิจารณาคดี
เมื่อเทียบวันเวลากับคำสารภาพทำให้เห็นภาพอย่างชัดเจนว่า ช่วงปิดอ่าวดำเนินการปราบปรามน้ำมันเถื่อนของเสี่ยโจ้ ปัตตานี ตำรวจยังคงรับส่วยจากผู้ค้าน้ำมันเถื่อนรายอื่นๆ อยู่จึงมีส่วยเข้ามาเพียงเดือนละ 3-5 ล้าน แต่หลังจากนั้นมีกระแสเงินสะพัดอีกหลายเท่าตัวโดยขยับขึ้นเป็นหลัก 15 ล้านบาทต่อเดือน จึงอาจเป็นได้ว่าตำรวจที่มีส่วนเกี่ยวข้องเปิดทางให้มีการค้าน้ำมันเถื่อนกันอย่างเต็มที่แล้ว รวมทั้งกิจการของเสี่ยโจ้ ปัตตานี ผู้สนับสนุนขบวนการก่อการร้ายอันเป็นเสี้ยนหนามของแผ่นดินไทย
นี่คืออีกเหตุผลหนึ่งที่ทางการไทยตัดสินใจขุดรากถอนโคน “ขบวนการตำรวจมาเฟีย” ที่แฝงตัวและขยายอิทธิพลอยู่ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติมาเป็นเวลานานนับ 10 ปี