ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน “พงศ์พัฒน์” ยันหากเข้าข่ายฟอกเงินเจอยึดทรัพย์ทันที พบทรัพย์สินที่ตรวจยึดได้มีกว่า 10,000 ชิ้น ส่วนตู้เซฟฝังดิน เข้าข่ายถูกยึด เนื่องจากมีการปิดบังซ่อนเร้น คาดเงินที่ได้จากการค้าน้ำมันเถื่อนอาจเชื่อมโยงกับท่อน้ำเลี้ยงหนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทางภาคใต้
วันนี้ (25 พ.ย.) ที่สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาธิการ ปปง. แถลงข่าวเกี่ยวกับคดีจับ พล.ต.ท.พงศ์พัฒน์ ฉายาพันธุ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง ร่วมกับพวกรวมทั้งหมด 12 คน ซึ่งเป็นผู้ต้องหาความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และเป็นเจ้าพนักงานจูงใจให้ผู้อื่นมอบผลประโยชน์ มาตรา 148 และเรียกรับผลประโยชน์ มาตรา 149 และมาตรา 157 ฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหนาที่โดยมิชอบ ซึ่งจากการตรวจสอบในภายหลังพบว่ามีการซุกซ่อนทรัพย์สินจำนวนมาก อาทิ เงินสดสกุลดอลลาร์ วัตถุโบราณ และทรัพย์สินอื่นๆ อีกหลายรายการ
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวว่า หลังจากที่ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว ทาง ปปง. ได้มีการประชุมร่วมกับทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับกรณีดังกล่าว ซึ่งผู้ต้องหาได้กระทำความผิดตามข้อหาฟอกเงิน เมื่อเป็นความผิด ทาง ปปง. สามารถดำเนินการได้ทันที ซึ่งหลังจากนี้ ทาง ปปง. จะดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงิน และการประกอบธุรกรรมการเงินต่างๆ จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่าผู้ต้องหามีทรัพย์สินเป็นจำนวนมากกว่า 10,000 ชิ้น ซึ่งทาง ปปง. จะเสนอให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมีการทำบัญชีรายชื่อเกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าวเพื่อจำแนกทรัพย์สิน แต่ละรายการให้สะดวกแก่การส่งมอบให้ ปปง. การดำเนินการดังกล่าวต้องใช้เวลาในการรวบรวมระยะหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ทรัพย์สินทุกชิ้นจะต้องมีการเรียกผู้ต้องหาเข้ามาแจกแจงรายละเอียดว่าได้ทรัพย์นั้นมาอย่างไร มีที่มาอย่างไร ได้มาโดยชอบหรือมิชอบ ทั้งนี้ ลักษณะของการเก็บทรัพย์สิน โดยมีการนำตู้เซฟไปฝั่งดิน ซึ่งถือเป็นการเก็บแบบไม่ปกติ ถือว่าผิดกฎหมายการฟอกเงิน ถือว่าเป็นการซุกซ่อน ปิดบัง อำพรางทรัพย์
พ.ต.อ.สีหนาท กล่าวต่อว่า ส่วนเรื่องของการยึดทรัพย์สินนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะมีการตรวจยึดไว้เพื่อตรวจสอบ แต่หากเป็นทรัพย์สินที่มีการฟอกเงินนั้น ถือว่าเป็นอำนาจของทาง ปปง. ที่สามารถตรวจยึดได้เลย สำหรับเงินสดสกุลดอลลาร์ ที่ยังไม่ได้ตรวจนับ และวัตถุโบราณ เช่น พระพุทธรูปนั้น จะต้องมีการประเมินราคาโดยผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง ส่วนกรณีของบัญชีทรัพย์สินของผู้ต้องหานั้น เชื่อว่า จำนวนบัญชีคงมีไม่มากนัก เนื่องจากผู้ต้องหาเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ซึ่งต้องมีการเปิดเผยให้ตรวจสอบบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน ซึ่งอย่างที่ทาง สตช. ได้มีการแถลงถึงกระบวนการการซุกซ่อนทรัพย์สินไปแล้ว ซึ่งทรัพย์สินส่วนใหญ่เป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวข้องกับการค้าน้ำมันเถื่อน บ่อนการพนัน และมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีเสี่ยโจ้ หรือ นายสหชัย เจียรเสริมสิน นักธุรกิจชื่อดังทางภาคใต้ ที่พัวพันกับการค้าน้ำมันเถื่อน เบื้องต้นคาดว่าพนักงานสอบสวนจะใช้เวลา 1 - 2 สัปดาห์ ในการรวบรวมข้อมูลทรัพย์สินทั้งหมด เพื่อส่งให้ทาง ปปง. อย่างไรก็ตาม ทาง ปปง. จะดำเนินการในส่วนของการตรวจสอบเส้นทางการเงินไปก่อน
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงกรณี 2 ผู้ต้องหาที่เป็นพลเรือนได้มีการบุกรุกป่า เพื่อเปิดรีสอร์ต จะดำเนินการอย่างไร พ.ต.อ.สีหนาท ตอบว่า หากมีการบุกรุกเพื่อเปิดรีสอร์ตจริง เราจะตรวจยึดทรัพย์ที่ได้จากการประกอบการทั้งหมด ส่วนที่ดินก็จะเป็นหน้าที่ของกรมอุทยานฯ ที่จะดำเนินการต่อไป
เมื่อถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เงินส่วนนี้จะไปสนับสนุนกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบทางภาคใต้หรือไม่ พ.ต.อ.สีหนาท ตอบว่า มีความเป็นไปได้ เนื่องจากการค้าน้ำมันเถื่อน อาจต้องส่งผ่านทางชายแดนของภาคใต้ ก็คงจะต้องมีการจ่ายค่าผ่านทาง หรือค่าคุ้มครองด้วย ทั้งนี้ หากมีการยักยอกเงินไปต่างประเทศ ทางเราสามารถตรวจสอบได้อยู่ แต่ขณะนี้ยังไม่พบว่ามีการถ่ายโอนเงินไปยังต่างประเทศแต่อย่างใด
