กระบี่ - ชาวประมงพื้นบ้านใน จ.กระบี่ ร่วมเรียกร้องให้มีการขยายพื้นที่ชุ่มน้ำโลกให้ครอบคลุมป่าชายเลนผืนใหญ่ทั้งหมดของจังหวัด เพื่อเป็นแหล่งผลิตอาหารให้แก่คนในพื้นที่แทนการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ขณะที่ชาวบ้านเชิญสื่อมวลชนร่วมให้ความรู้แผนพัฒนาภาคใต้ และแผนพลังงานข้ามโลก พร้อมจัดมินิคอนเสิร์ตบอกรักทะเลสัญจร ใช้ศิลปะเสียงเพลงร่วมรณรงค์ปกป้องกระบี่จากถ่านหิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านในพื้นที่ อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ยังคงเดินหน้าคัดค้านโครงการก่อสร้างท่าเรือขนถ่านหิน และโครงการขยายกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่อย่างต่อเนื่อง โดยเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2557 ที่ผ่านมา ชาวประมง พร้อมเรือประมงพื้นบ้านหัวโทงกว่า 70 ลำ จาก ต.ศรีบอยา ต.ตลิ่งชัน ต.ปกาสัย และ ต.คลองประสงค์ ได้มารวมตัวกันที่ป่าชายเลนบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ เพื่อกางป้ายผ้าลอยน้ำขนาด 20X32 เมตร ข้อความ “Protect Krabi” หรือ “ปกป้องกระบี่” พร้อมปล่อยพันธุ์ปู และติดป้ายข้อความรณรงค์ปกป้องป่าชายเลนเพื่อเป็นสัญลักษณ์แห่งการเรียกร้องขยายพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่แทนโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ทั้งนี้ พื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่เป็นศูนย์กลางความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเล เป็นที่อาศัยให้แก่สัตว์นานาชนิด และทำหน้ารักษาความหลากหลายทางระบบนิเวศวิทยาอย่างมั่นคง นอกจากนี้ ยังได้ถูกขึ้นทะเบียนเป็นพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ หรือแรมซาร์ไซต์
นายสมใจ ณ นคร ตัวแทนชาวบ้านตำบลตลิ่งชัน จังหวัดกระบี่ กล่าวถึงความอุดมสมบูรณ์ของพื้นที่ และการพึ่งพาทรัพยากรธรรมชาติของชาวกระบี่ ว่า ชาวบ้านหากิน ใช้ประโยชน์และอนุรักษ์พื้นที่ชุ่มน้ำมานาน ความอุดมสมบูรณ์ของป่าชายเลนทำให้มีสัตว์เศรษฐกิจ กุ้ง หอย ปู ปลาตลอดปี รายได้ของชาวบ้านบางวันสูงถึงหลักหมื่นบาท
“เมื่อออกทะเลเราสามารถพบแนวหญ้าทะเลตลอดเส้นทาง ตั้งแต่บ้านคลองรั้ว ศรีบอยา รอบเกาะจำ เกาะปู บ้านติ่งไหร เกาะกลาง เกาะลันตา และเกาะปอมัน เราสามารถพบรอยพะยูนไถกินหญ้าทะเล ฝูงโลมาจะเข้ามาหลบมรสุมในฤดูมรสุม และวาฬที่เข้ามาให้ชาวบ้านได้เห็น พวกเราจึงยืนยันความต้องการขยายบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ ไม่ใช่โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน”
จากการศึกษาเบื้องต้นทำให้ประชาชนในพื้นที่พบว่า นอกจากแหล่งหญ้าทะเล สัตว์ที่มีความสำคัญทางเศรษฐกิจ และสัตว์อนุรักษ์ที่มีการยืนยันการพบเห็น และอยู่ในบัญชีสัตว์ที่ถูกคุกคามของประเทศไทย เช่น วาฬ โลมา และพะยูนแล้ว ยังพบว่าชนิดพันธุ์ของสัตว์น้ำมีจำนวนมากกว่าข้อมูลที่ระบุไว้ในการศึกษาความหลากหลายทางชีวภาพในพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่ของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ในปี 2549 ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรที่เพิ่มมากขึ้นในบริเวณพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่
นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ คณะอนุกรรมการวิชาการพื้นที่ชุ่มน้ำ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กล่าวว่า ขณะนี้มีความพยายามในการปกป้องพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ ซึ่งเกิดจากการผลักดันร่วมกันของประชาชนจังหวัดกระบี่ โดยได้จัดทำรายงานศึกษาวิจัยวิถีชีวิต และความหลากหลายทางชีวภาพชายฝั่งทะเลอันดามันจังหวัดกระบี่ ฉบับสมบูรณ์เพื่อเสนอให้แก่คณะทำงานวิชาการพื้นที่ชุ่มน้ำ คณะอนุกรรมการการจัดการพื้นที่ชุ่มน้ำ และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ และเรียกร้องให้คณะรัฐมนตรีอนุมัติการขยายพื้นที่ชุ่มน้ำให้ครอบคลุมถึงบริเวณเกาะจำ เกาะปู เกาะลันตา และเกาะปอ ซึ่งพื้นที่ดังกล่าวได้ถูกกำหนดให้เป็นเส้นทางขนส่งถ่านหินของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน กระบี่
“การขอขยายพื้นที่ชุ่มน้ำปากแม่น้ำกระบี่เป็นสิ่งบ่งชี้ได้ว่า ชาวบ้านในพื้นที่ให้ความสำคัญต่อพื้นที่ดังกล่าว และต้องการปกป้องทรัพยากรอันอุดมสมบูรณ์ของท้องถิ่น เฉกเช่นเดียวกับวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศ ที่มีวัตถุประสงค์เพื่ออนุรักษ์และยับยั้งการสูญหายของพื้นที่ชุ่มน้ำในโลก โดยจะต้องมีการจัดการ และใช้ประโยชน์อย่างชาญฉลาด” นายหาญณรงค์ เยาวเลิศ คณะอนุกรรมการวิชาการพื้นที่ชุ่มน้ำ ภายใต้คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กล่าว
ด้าน น.ส.จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซเอเชีตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือขนถ่ายถ่านหินและโรงไฟฟ้าถ่านหินของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย และกระทรวงพลังงาน เป็นโครงการที่สวนทางต่อความต้องการของประชาชนในพื้นที่ นอกจากนี้ ยังทำให้สถานะของพื้นที่ชุ่มน้ำที่สำคัญต้องตกอยู่ในความเสี่ยง
“การดำเนินการโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ไม่คุ้มค่าต่อการได้มาซึ่งความสูญเสียทางด้านเศรษฐกิจ วิถีชีวิต และการท่องเที่ยวของจังหวัดกระบี่ มูลค่าการใช้ประโยชน์จากพื้นที่ชุ่มน้ำที่มีความสำคัญระหว่างประเทศบริเวณปากแม่น้ำกระบี่ เพื่อการสันทนาการ และการท่องเที่ยวเพียงอย่างเดียวอยู่ที่ 9.7 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 311 ล้านบาท) ต่อปี โดยข้อมูลดังกล่าวยังไม่รวมผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจอื่นๆ เช่น การทำเกษตรกรรม การเพาะเลี้ยงชายฝั่ง และการประมง” น.ส.จริยา เสนพงศ์ ผู้ประสานงานด้านพลังงานและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กรีนพีซเอเชีตะวันออกเฉียงใต้ กล่าว
ส่วนในช่วงบ่ายวันเดียวกัน ชาวบ้านได้ร่วมกันจัดกิจกรรมเรียนรู้แผนพัฒนาภาคใต้และแผนพลังงานข้ามโลก พร้อมกับกิจกรรมมินิคอนเสิร์ต “บอกรักทะเล สัญจร” ครั้งที่ 2 ที่ลานกิจกรรมบ้านแหลมหิน ต.ตลิ่งชัน อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ โดยเชิญนายปิยะโชติ อินทรนิวาส หัวหน้าศูนย์ข่าว “ASTVผู้จัดการภาคใต้ ศูนย์ข่าวหาดใหญ่” มาบรรยายให้ความรู้ สลับกับการแสดงดนตรีของศิลปิน “แสง ธรรมดา” “ศักดิ์ แคนดู” “ต้น ใต้สวรรค์” และ “ต้นแก้ว กุลศรี” ร่วมถ่ายทอดบทเพลงในอัลบั้มบอกรักทะเล ซึ่งมีชาวบ้านบ้านแหลมหินเข้าร่วมชมอย่างคึกคัก
โดยตัวแทนชาวบ้านระบุว่า อยากให้มีการจัดกิจกรรมในลักษณะนี้ต่อไปเรื่อยๆ เพื่อสื่อสารให้คนทั่วไปได้เห็นถึงเจตนารมณ์ของการปกป้องทรัพยากรธรรมชาติใน จ.กระบี่ และเรียกร้องให้ภาครัฐยุติการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่จะส่งผลกระทบต่อต้นทุนทางธรรมชาติใน จ.กระบี่ อย่างแน่นอน