คอลัมน์..ใต้แสงหวัน
โดย..ณขจร จันทวงศ์
ข่าวต่างประเทศของ “ASTVผู้จัดการ” รายงานข้อมูลจากสำนักข่าวต่างประเทศว่า คณะผู้เชี่ยวชาญของสหประชาชาติ ระบุในรายงานชิ้นใหญ่ฉบับล่าสุด ยืนยันว่าภาวะโลกร้อนกำลังเกิดขึ้นจากการกระทำของมนุษย์ล้วนๆ หากต้องการจำกัดผลกระทบอันเป็นอันตรายร้ายแรงของการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศเช่นนี้ ก็ควรต้องลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิส เป็นต้นว่า น้ำมัน ก๊าซ ถ่านหิน ให้น้อยลง จนกระทั่งยุติไปภายในปี 2100
รายงานชิ้นนี้นำออกเผยแพร่ในกรุงโคเปนเฮเกน เมืองหลวงของเดนมาร์ก เมื่อวันอาทิตย์ (2 พ.ย.) ระบุว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากการเผาไหม้ของเชื้อเพลิงฟอสซิลควรจะต้องลดลงเหลือ 0 ภายในสิ้นศตวรรษนี้ เพื่อควบคุมอุณหภูมิโลกให้เพิ่มขึ้นไม่เกิน 2 องศา ผู้เชี่ยวชาญต่างระบุว่า หากสูงกว่านี้โลกจะเป็นอันตรายมาก
ทั้งนี้ หากทำไม่สำเร็จจะเกิดผลกระทบต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อมชนิดที่
“ไม่อาจหวนคืนกลับมาได้อีก”
ในรายงานยังระบุด้วยว่า ผลกระทบบางอย่างปรากฏให้เห็นแล้ว เป็นต้นว่า ระดับน้ำทะเลกำลังเพิ่มสูงขึ้น น้ำในมหาสมุทรอุ่นขึ้น และมีความเป็นกรดสูงขึ้น ธารน้ำแข็ง และน้ำแข็งแถบอาร์กติกหลอมละลาย และคลื่นความร้อนที่เกิดขึ้นรุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้น
“วิทยาศาสตร์ได้พูดออกมาแล้ว”
บัน คีมุน เลขาธิการใหญ่สหประชาชาติ กล่าวเปิดตัวรายงานฉบับล่าสุดนี้
“ข้อความที่พวกเขาส่งออกมานั้นไม่มีอะไรกำกวมเลย ดังนั้น บรรดาผู้นำทั้งหลายจะต้องลงมือทำอะไรขึ้นมา เวลาไม่คอยท่าเราแล้ว”
นั่นคือส่วนหนึ่งในรายงาน ซึ่งเชื่อว่าขณะนี้เอกสารรายงานชิ้นนี้น่าจะส่งถึงประเทศที่เป็นสมาชิกของสหประชาชาติทั่วโลกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นี่กระมังที่เป็นเหตุผลให้ผู้บริหารในประเทศด้อยพัฒนาแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จึงได้รับหน้าที่เป็นคนกลางเตรียมจัดหาที่ทางให้พ่อค้าพลังงานถ่านหินเร่งระบายสินค้าราคาถูกที่กำไว้แล้วในมือ
แต่มันกลับเป็นพลังงานที่นับวันกลับจะด้อยค่า เมื่อมติของโลกก็ระบุชัดแล้วในรายงานของนักวิทยาศาสตร์ประจำสหประชาชาติ ว่า การเผาถ่านหินจะต้องหมดไปภายในศตวรรษนี้!
“ก่อนที่โลกจะวิบัติจนไม่สามารถกลับคืนสู่สภาพเดิมได้”
นี่เป็นเหตุผลให้เห็นชัดเจนถึงความด้อยค่าของถ่านหินในสายตาของชาวโลก ที่มองเห็นในทางตรงกันข้าม นั่นคือ อันตรายมหาศาลรออยู่มากกว่า
ฉะนั้นใครไปลงทุนซื้อเหมืองถ่านหินไว้ที่ต่างประเทศ ทั้งออสเตรเลีย หรืออินโดนีเซีย ใครที่กำลังมองหาทำเลก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน
ไม่บ้าก็น่าจะโง่ และน่าจะเป็นการโง่ และบ้าอย่างบัดซบ!
โง่ในทางธุรกิจที่ไปหลงซื้อสินค้าราคาถูก คิดว่าจะมีผลกำไร แต่ภายหลังกลับพบความจริงว่า โลกกำลังต่อต้านสิ่งนี้ และประกาศให้มันด้อยค่า แบบนี้ไม่เรียกว่าโง่แล้วจะเรียกว่าอะไร นี่คือความผิดพลาดอย่างมหาศาลใช่หรือไม่ในการทำธุรกิจ
วันนี้จึงได้เห็นว่า โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทั้งที่ อ.เทพา จ.สงขลา ขนาด 2,200 เมกะวัตต์ อีกทั้งที่ อ.เหนือคลอง จ.กระบี่ ขนาด 870 เมกะวัตต์ และล่าสุด ยังจะกลับเข้ามาในพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราชอีก
ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจอะไร เพราะเป็นไปตามแผนพัฒนาภาคใต้ที่คิดเองเออเองกันว่า จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินไม่ต่ำกว่า 10 โรง ย้ายฐานนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีลงมาในภาคใต้ หลังจากนิคมอุตสาหกรรมปิโตรเคมีถูกพัฒนาจนเต็มพื้นที่ในภาคตะวันออก
แผนการต่างๆ เหล่านี้เป็นไปอย่างลุกลี้ลุกลน เพราะจะต้องเผาถ่านหินให้หมดเสียในศตวรรษนี้หรืออย่างไร
ถ้าใช่ นั่นยังไงความบัดซบ!
เมื่อสหประชาชาติประกาศแล้วว่า ถ่านหินคือ หนึ่งในมหันตภัยล้างโลก และภาคใต้กำลังจะมีมหันตภัยล้างโลกมาตั้งอยู่ในพื้นที่มากมาย ปัญญาชนคนภาคใต้จะคิดเห็น และตัดสินใจอย่างไร
ซึ่งไม่คิดว่าจะตัดสินใจโง่ๆ และบ้าอย่างบัดซบ! เพราะจบมาสูงๆ กันทั้งนั้น
ท่านปัญญาชน!!