โดย..เงาศิลป์
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
“คอยดูนะ กูยิงจะหมามัน แล้วค่อยยิงมันทีหลัง”
เขาคำรามแล้วเพยิดหน้าไปทางชายหาด ขณะที่ชายร่างใหญ่เดินเอื่อยๆ เรื่อยๆ ที่ชายหาดในเครื่องแต่งกายเป็นกางเกงขาสั้นไม่สวมเสื้อ เผยผิวเผือกที่ถูกแดดเผาจนแดงก่ำเป็นสีกุ้งเผา มีหมาสีดำตัวใหญ่เดินนำหน้า กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศใต้
ฉันกำลังซดน้ำแกงต้มยำอย่างอร่อยคอหอยเป็นต้องสะดุ้ง คำของชายวัยห้าสิบต้นๆ รูปร่างเล็กบางแต่เสียงดัง เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารที่เรากำลังนั่งกินอยู่นี้ ตรงหาดทรายกว้างยาวทางทิศตะวันออกของเกาะ ซึ่งมีร้านอาหารไม่กี่ร้าน และคนกินอาหารในแต่ละร้านก็มีน้อย ส่วนใหญ่แขกจะกินอยู่ที่พักเพราะเกาะนี้การเดินทางยังไม่สะดวกที่จะออกมาเดินเล่นในเวลาค่ำคืน
วันนั้น เราต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ คือ เต้น และเปีย เต้นเป็นเพื่อนรุ่นน้องน้าชาญที่คลุกคลีกันมานาน ตั้งแต่ถนนข้าวสารจนไปถึงภาคเหนือ ก่อนจะมาอยู่เกาะเต่าเราเคยไปดูที่ทางที่จะทำร้านกัน เต้นมีเป้าหมายว่าจะย้ายจากเชียงรายมาอยู่เชียงของ เขาสองคนจึงชวนกันถีบจักรยานจากเชียงใหม่ไปเชียงของ ส่วนฉันนั่งรถเมล์ตามไปสมทบทีหลัง และได้คนสำคัญในท้องถิ่นคือ เจ้าของบ้านตำมิละพาไปดูพื้นที่ ดูอยู่หลายที่ จนสรุปว่าไม่เอาดีกว่า คราวนั้นเต้นตั้งข้อสังเกตแล้วพูดกับฉันว่า
“ผมว่าท่าทางพี่จะไม่อยากอยู่ที่ไหนสักแห่งเลยนะนี่” ใช่ สองสามวันที่ตระเวนไปทั่วๆ ฉันตัดสินใจไม่เลือกอยู่ที่นั่น
เต้น เปิดร้านขายงานฝีมือสไตล์ฮิปปี้ที่เชียงราย เขาพาเปียแฟนสาวชาวอังกฤษมาเที่ยวเกาะเพื่อเยี่ยมน้าชาญด้วย เย็นวันนั้นเรามาทานอาหารที่ร้านของเจ้าพ่อคนนี้ แกมานั่งคุยกับเรา เล่าเรื่องราวความขัดแย้ง นั่น โน่น นี่ สารพันกับคนแถวนั้น และกล่าวประโยคนี้ออกมา โดยที่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักว่าทำไมอยากจะฆ่าฝรั่งคนนั้นเสียนัก แต่สรุปคือ ผลประโยชน์ขัดกัน
“อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวนะน้อง ใครทำอะไรบอกพี่”
เป็นคำพูดที่น่าจะอบอุ่นใจ แต่สำหรับฉันเป็นความอึดอัดใจมากกว่า เพราะการอยู่ภายใต้การดูแลของใครสักคนย่อมไม่เป็นที่พึงใจของใครอีกคน ถ้าเลือกได้ขออยู่ไกลเจ้าพ่อจะดีกว่า
เจ้าพ่อคนนี้รักน้าชาญเหมือนน้อง เขารู้จักกันที่เกาะสมุย ตอนนั้นน้าชาญยังเป็นนักศึกษาไปอาศัยพักพิงที่ร้านแก และปั้นรูปคนไว้ให้ที่หน้าร้าน ต่อมา มีฝรั่งเมาทำแขนรูปปั้นหักแกจึงตีฝรั่งที่แขนจนแทบจะหักตามไป นั่นคือคำที่แกเล่ามา
ฉันเชื่อถ้าว่าใครทำอะไรน้าชาญ แกเอาตายแน่ เสียดายที่แกตายไปก่อนน้าชาญ ราวๆ 4 ปี ไม่อย่างนั้นศึกล้างแค้นอาจมี
แกตายเพราะเป็นลมตกบันไดบ้านในตอนเช้า เขาว่าแกดื่มมากในตอนกลางคืน เรื่องการตายเพราะตกบันไดไม่ใช่รายนี้รายแรก มีรายต่อมาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตน้าชาญ หรือว่านั่นคือ วิธีการสังหารที่แนบเนียนที่สุดของคนเกาะเต่า เหมือนมองโลกในแง่ร้าย แต่ทุกอย่างชวนให้คิดไปได้ทั้งนั้น เพราะแต่ละคนศัตรูไม่น้อย หรือถ้าเป็นอุบัติเหตุก็ต้องบอกว่า กรรมตามทัน
วีรกรรมของป๋าในคืนวันนั้นยังไม่จบ แกตะโกนเสียงดัง ชี้มือไปทางข้างหลังของฉัน
“มึงออกไปเลยนะ ออกไปจากร้านกูเดี๋ยวนี้”
ฉันเหลียวไปดูเห็นสาวไทยคนหนึ่งกำลังหย่อนก้นลงนั่งที่โต๊ะซึ่งมีชายฝรั่งสองคนนั่งกินข้าวอยู่ เธอรีบลุกเดินออกจากร้านไป แกบอกว่า ผู้หญิงคนนี้มาหาแขกเพื่อดึงไปนั่งดื่มที่ร้านอื่น ทำให้แกเสียรายได้ จึงเดาว่าน่าจะรู้จักคุ้นเคยวิถีทำมาหากินของผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างดี แล้วแกพูดต่อว่า ป๋าเองก็อยากมีเด็กสาวๆ มานั่งในร้านจะได้เรียกแขก
คนไทยสามคนนิ่งเงียบ ปล่อยให้แกพูดเรื่องธุรกิจของแกไปตามประสาคนพูดมากผสมเมา แต่สิ่งที่แกทำจริงๆ จากที่คุยในวันนั้นคือ เปิดบาร์ขายเหล้าที่ชายหาด เป็นบาร์แห่งแรกที่หาดทรายรี
อีกสามวันต่อมา เป็นคืนเพ็ญ มีฟูลมูนปาร์ตuhที่นั่น ที่เรียกว่าจืดสนิทเพราะดวงจันทร์ไม่ได้ขึ้นมาตรงกลางอ่าวเหมือนหาดสวยเกาะพtงัน มันค่อยๆ โผล่เลียบหินผาทางด้านทิศเหนือ กว่าจะลอยเด่นเห็นดวงชัดก็เกือบสามทุ่ม แต่นั่นคงไม่ใช่ปัญหาอะไรถ้าจะสนุกสนาน
แต่มันไม่มีนักท่องเที่ยวมางานปาร์ตี้ตามที่คาดหวังน่ะสิ
(อ่านต่อตอนที่ 10)
(“เงาศิลป์” เกิดทางใต้ แต่เติบโตที่ภาคกลาง และใช้ชีวิตเร่ร่อนในวัยสาวทั่วประเทศไทย เพราะหลงรักเสรีภาพ และการเดินทางมากกว่าทุกสิ่ง เธอจดบันทึกทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนบัดนี้พยายามปักหลักหยั่งรากบนแผ่นดินอีสาน ทำงานอยู่กับต้นไม้ ยิปซีสาวแห่งทุ่งอักษรผู้แสวงหาอะไรสักอย่างที่ไม่กล้าประกาศออกไป ด้วยความหวังว่าสุดท้าย...อาจได้เจอสิ่งนั้น)
“คอยดูนะ กูยิงจะหมามัน แล้วค่อยยิงมันทีหลัง”
เขาคำรามแล้วเพยิดหน้าไปทางชายหาด ขณะที่ชายร่างใหญ่เดินเอื่อยๆ เรื่อยๆ ที่ชายหาดในเครื่องแต่งกายเป็นกางเกงขาสั้นไม่สวมเสื้อ เผยผิวเผือกที่ถูกแดดเผาจนแดงก่ำเป็นสีกุ้งเผา มีหมาสีดำตัวใหญ่เดินนำหน้า กำลังมุ่งหน้าไปทางทิศใต้
ฉันกำลังซดน้ำแกงต้มยำอย่างอร่อยคอหอยเป็นต้องสะดุ้ง คำของชายวัยห้าสิบต้นๆ รูปร่างเล็กบางแต่เสียงดัง เขาเป็นเจ้าของร้านอาหารที่เรากำลังนั่งกินอยู่นี้ ตรงหาดทรายกว้างยาวทางทิศตะวันออกของเกาะ ซึ่งมีร้านอาหารไม่กี่ร้าน และคนกินอาหารในแต่ละร้านก็มีน้อย ส่วนใหญ่แขกจะกินอยู่ที่พักเพราะเกาะนี้การเดินทางยังไม่สะดวกที่จะออกมาเดินเล่นในเวลาค่ำคืน
วันนั้น เราต้อนรับแขกบ้านแขกเมืองคนสำคัญ คือ เต้น และเปีย เต้นเป็นเพื่อนรุ่นน้องน้าชาญที่คลุกคลีกันมานาน ตั้งแต่ถนนข้าวสารจนไปถึงภาคเหนือ ก่อนจะมาอยู่เกาะเต่าเราเคยไปดูที่ทางที่จะทำร้านกัน เต้นมีเป้าหมายว่าจะย้ายจากเชียงรายมาอยู่เชียงของ เขาสองคนจึงชวนกันถีบจักรยานจากเชียงใหม่ไปเชียงของ ส่วนฉันนั่งรถเมล์ตามไปสมทบทีหลัง และได้คนสำคัญในท้องถิ่นคือ เจ้าของบ้านตำมิละพาไปดูพื้นที่ ดูอยู่หลายที่ จนสรุปว่าไม่เอาดีกว่า คราวนั้นเต้นตั้งข้อสังเกตแล้วพูดกับฉันว่า
“ผมว่าท่าทางพี่จะไม่อยากอยู่ที่ไหนสักแห่งเลยนะนี่” ใช่ สองสามวันที่ตระเวนไปทั่วๆ ฉันตัดสินใจไม่เลือกอยู่ที่นั่น
เต้น เปิดร้านขายงานฝีมือสไตล์ฮิปปี้ที่เชียงราย เขาพาเปียแฟนสาวชาวอังกฤษมาเที่ยวเกาะเพื่อเยี่ยมน้าชาญด้วย เย็นวันนั้นเรามาทานอาหารที่ร้านของเจ้าพ่อคนนี้ แกมานั่งคุยกับเรา เล่าเรื่องราวความขัดแย้ง นั่น โน่น นี่ สารพันกับคนแถวนั้น และกล่าวประโยคนี้ออกมา โดยที่ไม่ได้ลงรายละเอียดมากนักว่าทำไมอยากจะฆ่าฝรั่งคนนั้นเสียนัก แต่สรุปคือ ผลประโยชน์ขัดกัน
“อยู่ที่นี่ไม่ต้องกลัวนะน้อง ใครทำอะไรบอกพี่”
เป็นคำพูดที่น่าจะอบอุ่นใจ แต่สำหรับฉันเป็นความอึดอัดใจมากกว่า เพราะการอยู่ภายใต้การดูแลของใครสักคนย่อมไม่เป็นที่พึงใจของใครอีกคน ถ้าเลือกได้ขออยู่ไกลเจ้าพ่อจะดีกว่า
เจ้าพ่อคนนี้รักน้าชาญเหมือนน้อง เขารู้จักกันที่เกาะสมุย ตอนนั้นน้าชาญยังเป็นนักศึกษาไปอาศัยพักพิงที่ร้านแก และปั้นรูปคนไว้ให้ที่หน้าร้าน ต่อมา มีฝรั่งเมาทำแขนรูปปั้นหักแกจึงตีฝรั่งที่แขนจนแทบจะหักตามไป นั่นคือคำที่แกเล่ามา
ฉันเชื่อถ้าว่าใครทำอะไรน้าชาญ แกเอาตายแน่ เสียดายที่แกตายไปก่อนน้าชาญ ราวๆ 4 ปี ไม่อย่างนั้นศึกล้างแค้นอาจมี
แกตายเพราะเป็นลมตกบันไดบ้านในตอนเช้า เขาว่าแกดื่มมากในตอนกลางคืน เรื่องการตายเพราะตกบันไดไม่ใช่รายนี้รายแรก มีรายต่อมาที่เกี่ยวข้องกับชีวิตน้าชาญ หรือว่านั่นคือ วิธีการสังหารที่แนบเนียนที่สุดของคนเกาะเต่า เหมือนมองโลกในแง่ร้าย แต่ทุกอย่างชวนให้คิดไปได้ทั้งนั้น เพราะแต่ละคนศัตรูไม่น้อย หรือถ้าเป็นอุบัติเหตุก็ต้องบอกว่า กรรมตามทัน
วีรกรรมของป๋าในคืนวันนั้นยังไม่จบ แกตะโกนเสียงดัง ชี้มือไปทางข้างหลังของฉัน
“มึงออกไปเลยนะ ออกไปจากร้านกูเดี๋ยวนี้”
ฉันเหลียวไปดูเห็นสาวไทยคนหนึ่งกำลังหย่อนก้นลงนั่งที่โต๊ะซึ่งมีชายฝรั่งสองคนนั่งกินข้าวอยู่ เธอรีบลุกเดินออกจากร้านไป แกบอกว่า ผู้หญิงคนนี้มาหาแขกเพื่อดึงไปนั่งดื่มที่ร้านอื่น ทำให้แกเสียรายได้ จึงเดาว่าน่าจะรู้จักคุ้นเคยวิถีทำมาหากินของผู้หญิงคนนั้นเป็นอย่างดี แล้วแกพูดต่อว่า ป๋าเองก็อยากมีเด็กสาวๆ มานั่งในร้านจะได้เรียกแขก
คนไทยสามคนนิ่งเงียบ ปล่อยให้แกพูดเรื่องธุรกิจของแกไปตามประสาคนพูดมากผสมเมา แต่สิ่งที่แกทำจริงๆ จากที่คุยในวันนั้นคือ เปิดบาร์ขายเหล้าที่ชายหาด เป็นบาร์แห่งแรกที่หาดทรายรี
อีกสามวันต่อมา เป็นคืนเพ็ญ มีฟูลมูนปาร์ตuhที่นั่น ที่เรียกว่าจืดสนิทเพราะดวงจันทร์ไม่ได้ขึ้นมาตรงกลางอ่าวเหมือนหาดสวยเกาะพtงัน มันค่อยๆ โผล่เลียบหินผาทางด้านทิศเหนือ กว่าจะลอยเด่นเห็นดวงชัดก็เกือบสามทุ่ม แต่นั่นคงไม่ใช่ปัญหาอะไรถ้าจะสนุกสนาน
แต่มันไม่มีนักท่องเที่ยวมางานปาร์ตี้ตามที่คาดหวังน่ะสิ
(อ่านต่อตอนที่ 10)