เหตุการณ์คนร้ายไม่ทราบจำนวน ก่อเหตุฆ่า 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่หาดทรายรี ต.เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี อย่างโหดเหี้ยม ด้วยการใช้จอบทุบศีรษะ และใบหน้าจนเป็นแผลเหวอะหวะในสภาพศพที่เปลือยกายล่อนจ้อนนอนเสียชีวิตอยู่ริมชายหาด เป็นอีกหนึ่งคดีสะเทือนขวัญที่เกิดต่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติบนแหล่งท่องเที่ยวชื่อดังของไทย เหตุขึ้นเมื่อวันที่ 15 ก.ย.2557
คดีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งคดีที่เขย่าวงการตำรวจไทย เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นต่อนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และการฆาตกรรมในครั้งนี้เป็นพฤติกรรมโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ทั่วไปจะทำกัน ทำให้คดีนี้กลายเป็นที่จับตาของหลายฝ่าย โดยเฉพาะประเทศอังกฤษ ที่ต้องสูญเสียพลเมืองพร้อมๆ กัน 2 คน ว่า ตำรวจไทยจะสามารถจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุมาลงโทษได้หรือไม่..? ซึ่งหลังจากเกิดเหตุ ตำรวจทำงานแบบคลำไม่ถูกเป้าเหมือนเหวี่ยงแหในทะเล
ทันที...ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ย่อยเกาะเต่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ว่า พบศพนักท่องเที่ยวหญิง-ชาย ชาวต่างชาติถูกฆ่าเปลือยอยู่บนหาดทรายรี เกาะเต่า พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรสุราษฎร์ธานี พร้อมด้วย พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผู้กำกับการ สภ.เกาะพะงัน ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน และชุดสืบสวนลงพื้นที่เกาะเต่าทันที ในเบื้องต้นเจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นการสังหารโหดครั้งนี้เป็นการฆ่าข่มขืน โดยประมาณว่านักท่องเที่ยวทั้ง 2 คนกำลังพลอดรักกันอยู่ที่บริเวณชายหาดที่เกิดเหตุ คนร้ายซึ่งอาจจะอยู่ในบริเวณนั้น หรือเดินผ่านมาเห็นก็เกิดอารมณ์เลยก่อเหตุฆ่านักท่องเที่ยวชายเพื่อหวังข่มขืนนักท่องเที่ยวหญิง แต่นักท่องเที่ยวต่อสู้ จึงลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยม เนื่องจากศพนักท่องเที่ยวที่นอนตายอยู่บนชายหาดอยู่ในสภาพเปลือยกายทั้งหญิง และชาย และถูกทุบด้วยของแข็งจนเสียชีวิต
หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าถึงพื้นที่ ได้ระดมกำลังจากทุกฝ่าย ทั้งชุดสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ลงมือเก็บพยานหลักฐานต่างๆ ในที่เกิดเหตุทันที พบวัตถุพยานชิ้นสำคัญที่คาดว่าคนร้ายใช้เป็นอาวุธทำร้ายนักท่องเที่ยวทั้ง 2 รายจนเสียชีวิต คือ จอบที่เปื้อนเลือด ถูกทิ้งไว้ห่างจากจุดพบศพไม่มากนัก ขณะที่ศพนักท่องเที่ยวทั้ง 2 รายเจ้าหน้าที่ได้ส่งตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด นอกจากนั้น ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกส่วนหนึ่งก็ปูพรมออกสืบสวนควานหาตัวคนร้ายทันที เบื้องต้นพุ่งเป้าไปที่แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในพื้นที่เกาะเต่า ทุกซอกทุกมุมเสมือนปิดเกาะไล่ล่า
จนกระทั่งบ่ายวันเดียวกัน เพื่อนผู้เสียชีวิตทั้ง 2 ราย ได้เข้าให้ปากคำ และยืนยันว่า ผู้เสียชีวิตเป็นใคร และทราบว่าทั้ง 2 คน ได้มารู้จักกันที่บาร์แห่งหนึ่งบนเกาะเต่า ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่พบศพประมาณ 100 เมตร ทางเจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ และออกสืบสวนหาข่าวเพื่อติดตามจับกุมคนร้าย การติดตามคนร้ายในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้การฆาตกรรมจะเกิดขึ้นบนเกาะเล็กๆ ก็ตาม เพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่ปลอดคน และมืด เบาะแสเดียวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คือ ภาพผู้ชายที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้ในเวลา และบริเวณใกล้ๆ กับที่เกิดเหตุเท่านั้น ที่มีลักษณะเหมือนคนเอเชีย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมุ่งเป้าไปที่แรงงานต่างด้าวที่ทำงานอยู่บนเกาะเต่า โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่พักอยู่ละแวกใกล้จุดเกิดเหตุ เนื่องจากพฤติกรรมของคนร้ายเป็นไปอย่างโหดเหี้ยม จัดกำลัง 4 ชุด ออกค้นหา และเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนหาตัวผู้ที่ก่อเหตุร้ายในครั้งนี้ จนเป็นที่มาของการบุกจู่โจมตรวจค้นแคมป์คนงานต่างด้าว ในช่วงหัวรุ่งของวันถัดมา เพื่อเก็บรวบรวมพยานหลักฐาน และนำแรงงานต่างด้าวที่คิดว่ามีรูปร่างใกล้เคียงกับคนในภาพกล้องวงจรปิดมาสอบเครียด และตรวจดีเอ็นดี 7 คน รวมทั้งนำกางเกงยีนส์ของคนงานที่มีรอยคล้ายเลือดไปตรวจสอบ และยึดโทรศัพท์มือถือ จำนวน 4 เครื่อง ซึ่งจุดนี้ทำให้หลายๆ คิดว่าตำรวจน่าจะตามจับคนร้ายได้ถูกทางแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องแห้วไปตามๆ กัน หลังผลดีเอ็นของผู้ต้องสงสัยทั้ง 7 คน ไม่ตรงกับดีเอ็นเอที่พบจากศพของนักท่องเที่ยวหญิง โดยที่ศพของนักท่องเที่ยวหญิงมีอสุจิในช่องคลอด ซึ่งเป็นดีเอ็นเอลักษณะผสม รวมทั้งผลตรวจรอยคล้ายคราบเลือดที่กางเกงสรุปเป็นแค่ยางไม้เท่านั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แต่เป้าหมายยังเป็นชายในภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งหมายรวมถึงแรงงานต่างด้าวบนเกาะเต่าที่มีอยู่ประมาณ 4,000 คน คนไทยที่ทำงานอยู่บนเกาะเต่า และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย เพราะจากภาพกล้องวงจรปิดระบุชัดว่า ชายคนดังกล่าวเป็นคนเอเชีย ซึ่งตรงกับผลดีเอ็นเอที่ศพของผู้เสียชีวิตที่ผลตรวจออกมาว่าน่าจะเป็นดีเอ็นเอของคนเอเชีย เจ้าหน้าที่จึงเริ่มปฏิบัติการต้อนแรงงานต่างด้าวที่ทำงานร้านอาหาร รีสอร์ต บนเกาะเต่ามาตรวจดีเอ็นเอกันอีกรอบ โดยมีความหวังว่าคงจะมีใครสักคนที่มีดีเอ็นเอตรงกับดีเอ็นเอที่พบจากศพผู้เสียชีวิต แต่เจ้าหน้าที่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวอีกจนได้ เมื่อไม่มีดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยรายใดตรงกับผู้ตาย แม้แต่เพื่อนชายของนักท่องเที่ยวชายที่เสียชีวิตก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ที่ถูกเชิญตัวไปสอบปากคำ และถูกจับตรวจดีเอ็นเอเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ลูกเรือประมงที่แวะมาหลบคลื่นลมในคืนเกิดเหตุ และจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ละความพยายามที่จะตามตรวจดีเอ็นเอบุคคลผู้ต้องสงสัย โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าว และคนเอเชียที่รูปร่างใกล้เคียงกับชายในภาพของวงจรปิด
การติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้ความสำคัญมาก ระดมกำลังทั้งนายตำรวจระดับสูง เจ้าหน้าที่ตำรวจมือดีลงพื้นที่เกาะเต่า เพื่อคลี่คลายคดีให้ได้เร็วที่สุด แต่การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังเป็นการทำงานแบบไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นการทำงานแบบเหวี่ยงแห จนหลงประเด็นไปเรื่อยๆ แม้ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะลงมาติดตามด้วยตัวเอง และให้แนวทางในการคลี่คลายคดีก็ตาม ลงพื้นที่เก็บพยานหลักฐานกันอย่างต่อเนื่อง ส่งกำลังเสริมเต็มพิกัด แม้กระทั่งส่งที่ปรึกษา สบ 10 ลงมาดูแลคดีนี้เอง มีการจำลองเหตุการณ์และตั้งสมมติเหตุการณ์ตามพยานหลักฐาน และนำเจ้าหน้าที่ตำรวจปูพรมหาพยานหลักฐาน เพื่อจำกัดวงการก่อเหตุให้แคบลง แต่สุดท้ายคดีก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก และไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเข้าใกล้ตัวคนร้ายแล้ว หรือผู้ต้องสงสัยเป็นใคร เจ้าหน้าที่ยังคงเดินหน้าเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอแรงงานต่างด้าวมาตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง จนหลายคนสงสัยว่าจะต้องตรวจดีเอ็นเอผู้ชายบนเกาะเต่าทั้งเกาะ หรือยังไง ถึงจะได้ตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
จนกระทั่งมีชาวบ้านแจ้งเบาะแสว่า พบชายต้องสงสัยหลบอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งบนเกาะสมุย ตำรวจก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา บ้างว่าการสืบสวนเข้าใกล้ตัวคนร้ายแล้ว จึงเข้าไปเชิญตัวมาสอบเครียดพร้อมเพื่อนอีก 2 คน และเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอไปตรวจเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่พบในนักท่องเที่ยว แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังอีกจนได้ เมื่อผลดีเอ็นเอไม่ตรงกัน
ถึงเวลาต้องเริ่มต้นควานหาตัวคนร้ายรอบใหม่ ท่ามกลางกระแสข่าว และการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังคลำไม่ถูกเป้า เดินไม่ถูกทาง ยังไร้วี่แววเข้าใกล้ตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ ต่างก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมการทำคดีนี้ถึงยังไม่มีความชัดเจน หรือแม้แต่สื่อต่างประเทศก็ออกมาวิจารณ์การทำงานของตำรวจไทยอย่างรุนแรงว่า ทำงานแบบเร่งรีบแต่ไม่ตรงประเด็น และไม่เชื่อฝีมือตำรวจไทยในการคลี่คลายคดีนี้ กระทั่งมีการโพสต์ข้อความของนักท่องเที่ยวชาวสกอตแลนด์ ที่บอกว่ารู้จัก และเป็นเพื่อนกับนักท่องเที่ยวชายที่ที่ถูกฆ่า และสงสัยว่าการก่อเหตุในครั้งนี้ผู้กว้างขวางบนเกาะน่าจะมีส่วนรู้เห็น โดยอ้างว่าตัวเองก็ถูกข่มขู่จากผู้กว้างขวางด้วยเช่นกัน หลังได้ข้อมูลใหม่เจ้าหน้าที่ตำรวจเปลี่ยนเป้าหมายควานหาตัวคนร้ายอีกครั้ง
ครั้งนี้ พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ลงพื้นที่คุมการทำงานเอง โดยจำกัดเป้าหมายให้แคบลง และมีความชัดเจนในตัวผู้ต้องสงสัยมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้ที่เจ้าหน้าที่ตำรวจรำมวยกันมานาน ถึงเวลาชกจริงแล้ว พร้อมย้ำอิทธิพลบนเกาะเต่าไม่สามารถทำให้คดีนี้หยุดชะงักได้ จนวันที่ 23 ก.ย.ได้เชิญตัว 2 พี่น้องผู้กว้างขวางบนเกาะเต่า คือ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.เกาะเต่า เจ้าของสถานบันเทิงเอซีบาร์ และน้องชายเจ้าของ อินทัชรี สอร์ท มาให้ปากคำต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยใช้เวลาสอบเครียดนานหลายชั่วโมง รวมทั้งเก็บดีเอ็นเอไปตรวจสอบ และได้ปล่อยตัวกลับไป
ปัญหาที่ตำรวจไม่สามารถคลี่คลายคดีนี้ให้คืบหน้าได้ ผบช.ภ.8 ก็ยอมรับเป็นเพราะตำรวจวางกรอบการสืบสวนกว้างเกินไป ไม่มีความชัดเจนในตัวผู้ต้องสัย แต่ขณะนี้ได้ปรับแนวทางสืบสวนใหม่ให้อยู่ในวงจำกัด มุ่งเป้าไปที่บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดในพื้นที่เกิดเหตุมากขึ้น ทำให้การรวบรวมพยานหลักฐานคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 80 และมั่นใจว่าจะนำไปสู่การหาตัวผู้ลงมือก่อเหตุได้ในเร็วๆ นี้
สังคมกำลังจับตามองการทำงานของตำรวจว่าจะสามารถคลี่คลายคดีนี้ได้หรือไม่ และเมื่อไรจะเข้าถึงตัวคนร้ายได้ ขณะนี้เวลาผ่านมากว่าสิบวันแล้ว แต่ยังไม่มีวี่แววว่าจะรู้ตัวคนร้ายในคดีนี้