ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ -คดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ บนเกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี ด้วยการใช้จอบทุบศีรษะและใบหน้าจนเป็นแผลเหวอะหวะในสภาพศพที่เปลือยกายล่อนจ้อนนอนเสียชีวิตอยู่ริมชายหาด เมื่อวันที่ 15 กันยายนที่ผ่านมา สร้างความสั่นสะเทือนให้แก่วงการท่องเที่ยวและวงการตำรวจของไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
คดีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งคดีที่เขย่าวงการสีกากี เพราะเป็นเหตุที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ และการฆาตกรรมในครั้งนี้เป็นพฤติกรรมโหดเหี้ยมเกินมนุษย์ทั่วไปจะทำกัน ทำให้คดีนี้กลายเป็นที่จับตาของหลายฝ่าย โดยเฉพาะประเทศอังกฤษที่ต้องสูญเสียพลเมืองพร้อมๆ กัน 2 คน...ซึ่งหวังว่า ตำรวจไทย คงจะปิดคดีนี้ได้ในเร็ววัน
หลังเกิดเหตุ ต่างชาติโดยเฉพาะสถานทูตอังกฤษ กงสุลอังกฤษฯลฯ ที่ลงมาติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด ค่อนข้างมั่นใจว่า หลังเกิดเหตุมานาน เจ้าหน้าที่ตำรวจไทยต้องจับตัวคนก่อเหตุสยองครั้งนี้ ได้แน่ เพราะจากหลักฐานและเบาะแสมากมายที่พบ และพื้นที่เกิดเหตุค่อนข้างอยู่ในวงจำกัด คดีน่าจะปิดได้ไม่ยาก
แต่จนถึงวันที่ 25 กันยายน ที่บอกว่าได้ตัวผู้ต้องสงสัย ...ใกล้ได้ตัวคนร้าย กลับไม่ใช่ แล้วต้องเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่
เพราะตั้งแต่เกิดเหตุ ตำรวจ และเจ้าหน้าที่เกี่ยวข้อง ทั้งในพื้นที่และส่วนกลาง ที่ระดมสรรพกำลังกว่าครึ่งพันขึ้นเกาะเต่า เพื่อคลี่คลายคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญ ทำงานแบบคลำไม่ถูกเป้า เหมือนเหวี่ยงแหในทะเล
ในวันเกิดเหตุ วันที่ 15 กันยายน 2557 ...เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ย่อย เกาะเต่า ได้รับแจ้งจากชาวบ้านในพื้นที่ ว่า พบศพนักท่องเที่ยวหญิง-ชาย ชาวต่างชาติ ถูกฆ่าเปลือยอยู่บนหาดทรายรี เกาะเต่า พล.ต.ต.เกียรติพงศ์ ขาวสำอางค์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรสุราษฎร์ธานี (ผบก.ภ.จว.สุราษฎร์ธานี) พร้อมด้วย พ.ต.อ.ประชุม เรืองทอง ผู้กำกับการสถานีตำรวจภูธรเกาะพะงัน(ผกก. สภ.เกาะพะงัน) ตำรวจกองพิสูจน์หลักฐาน และชุดสืบสวน ลงพื้นที่เกาะเต่าทันที
เบื้องต้นเจ้าหน้าที่มุ่งประเด็นการสังหารโหดครั้งนี้เป็นการฆ่าข่มขืน โดยประมาณว่านักท่องเที่ยวทั้งสองคนกำลังพลอดรักกันอยู่ที่บริเวณชายหาดที่เกิดเหตุ คนร้ายซึ่งอาจจะอยู่ในบริเวณนั้น หรือเดินผ่านมาเห็นก็เกิดอารมณ์เลยก่อเหตุฆ่านักท่องเที่ยวชายเพื่อหวังข่มขืนนักท่องเที่ยวหญิง แต่นักท่องเที่ยวต่อสู้ จึงลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยม เนื่องจากศพนักท่องเที่ยวที่นอนตายอยู่บนชายหาดอยู่ในสภาพเปลือยกายทั้งหญิงและชายและถูกทุบด้วยของแข็งจนเสียชีวิต
หลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าถึงพื้นที่ ได้ระดมกำลังจากทุกฝ่าย ทั้งชุดสืบสวน เจ้าหน้าที่กองพิสูจน์หลักฐาน ลงมือเก็บพยานหลักฐานต่างๆ ในที่เกิดเหตุทันที พบวัตถุพยานชิ้นสำคัญ ที่คาดว่าคนร้ายใช้เป็นอาวุธทำร้ายนักท่องเที่ยวทั้ง 2 รายจนเสียชีวิต คือ จอบที่เปื้อนเลือด ถูกทิ้งไว้ห่างจากจุดพบศพไม่มากนัก ขณะที่ศพนักท่องเที่ยวทั้งสองรายเจ้าหน้าที่ได้ส่งตรวจพิสูจน์หาสาเหตุการเสียชีวิตอย่างละเอียด
นอกจากนั้นในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกส่วนหนึ่งก็ปูพรหม ออกสืบสวนควานหาตัวคนร้ายทันที เบื้องต้นพุ่งเป้าไปที่แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในพื้นที่เกาะเต่า ทุกซอกทุกมุมเสมือนปิดเกาะไล่ล่า
จนกระทั่งบ่ายวันเดียวกัน เพื่อนผู้เสียชีวิตทั้ง 2 รายได้เข้าให้ปากคำและยืนยันว่าผู้เสียชีวิตเป็นใคร และทราบว่าทั้ง 2 คน ได้มารู้จักกันที่บาร์แห่งหนึ่งบนเกาะเต่า ซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่พบศพประมาณ 100 เมตร เจ้าหน้าที่ได้ตรวจสอบภาพกล้องวงจรปิดบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ และออกสืบสวนหาข่าวเพื่อติดตามจับกุมคนร้าย การติดตามคนร้ายในครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ แม้การฆาตกรรมจะเกิดขึ้นบนเกาะเล็กๆก็ตามเพราะเหตุการณ์เกิดขึ้นในช่วงที่ปลอดคนและมืด เบาะแสเดียวที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คือภาพผู้ชายที่กล้องวงจรปิดจับภาพได้ในเวลาและบริเวณใกล้ๆกับที่เกิดเหตุเท่านั้น ที่มีลักษณะเหมือนคนเอเชีย
เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงมุ่งเป้าไปที่แรงงานต่างด้าว ที่ทำงานอยู่บนเกาะเต่า โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวที่พักอยู่ละแวกใกล้จุดเกิดเหตุ เนื่องจากพฤติกรรมของคนร้ายเป็นไปอย่างโหดเหี้ยม จัดกำลัง 4 ชุด ออกค้นหาและเชิญตัวผู้ต้องสงสัยมาสอบสวนหาตัวผู้ที่ก่อเหตุร้ายในครั้งนี้
จนเป็นที่มาของการบุกจู่โจมตรวจค้นแคมป์คนงานต่างด้าว ในช่วงหัวรุ่งของวันถัดมา เพื่อเก็บรวบรวมพยานหลักฐานและนำแรงงานต่างด้าวที่คิดว่ามีรูปร่างใกล้เคียงกับคนในภาพกล้องวงจรปิดมาสอบเครียดและตรวจดีเอ็นดี 7 คน รวมทั้งนำกางเกงยีนของคนงานที่มีรอยคล้ายเลือดไปตรวจสอบ และยึดโทรศัพท์มือถือจำนวน 4 เครื่อง
จุดนี้ทำให้หลายๆ คิดว่าตำรวจน่าจะตามจับคนร้ายได้ถูกทางแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องแห้วไปตามตามกัน หลังผลดีเอ็นของผู้ต้องสงสัยทั้ง 7 คน ไม่ตรงกับดีเอ็นเอ ที่พบจากศพของนักท่องเที่ยวหญิง โดยที่ศพของนักท่องเที่ยวหญิงมีอสุจิในช่องคลอด ซึ่งเป็นดีเอ็นเอลักษณะผสม รวมทั้งผลตรวจรอยคล้ายคราบเลือดที่กางเกงสรุปเป็นแค่ยางไม้เท่านั้น
เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องกลับมาเริ่มต้นนับหนึ่งใหม่ แต่เป้าหมายยังเป็นชายในภาพกล้องวงจรปิด ซึ่งหมายรวมถึง แรงงานต่างด้าวบนเกาะเต่าที่มีอยู่ประมาณ 4,000 คน คนไทยที่ทำงานอยู่บนเกาะเต่า และกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวเอเชีย เพราะจากภาพกล้องวงจรปิดระบุชัดว่าชายคนดังกล่าวเป็นคนเอเชีย ซึ่งตรงกับผลดีเอ็นเอที่ศพของผู้เสียชีวิตที่ผลตรวจออกมาว่าน่าจะเป็นดีเอ็นเอของคนเอเชีย เจ้าหน้าที่จึงเริ่มปฏิบัติการต้อนแรงงานต่างด้าว ที่ทำงานร้านอาหาร รีสอร์ต บนเกาะเต่ามาตรวจดีเอ็นเอกันอีกรอบ โดยมีความหวังว่าคงจะมีใครสักคนที่มีดีเอ็นเอตรงกับดีเอ็นเอที่พบจากศพผู้เสียชีวิต แต่เจ้าหน้าที่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวอีกจนได้ เมื่อไม่มีดีเอ็นเอของผู้ต้องสงสัยรายใดตรงกับผู้ตาย
แม้แต่เพื่อนชายของนักท่องเที่ยวชายที่เสียชีวิตก็เป็นหนึ่งในผู้ต้องสงสัย ที่ถูกเชิญตัวไปสอบปากคำและถูกจับตรวจดีเอ็นเอเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่ลูกเรือประมงที่แวะมาหลบคลื่นลมในคืนเกิดเหตุ และจนถึงขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจก็ไม่ได้ละความพยายามที่จะตามตรวจดีเอ็นเอบุคคลผู้ต้องสงสัย โดยเฉพาะแรงงานต่างด้าวและคนเอเชียที่รูปร่างใกล้เคียงกับชายในภาพของวงจรปิด
การติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุในครั้งนี้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้ความสำคัญมาก ระดมกำลังทั้งนายตำรวจระดับสูง เจ้าหน้าที่ตำรวจมือดีลงพื้นที่เกาะเต่า เพื่อคลี่คลายคดีให้ได้เร็วที่สุด แต่การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ยังเป็นการทำงานแบบไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน เป็นการทำงานแบบเหวี่ยงแห จนหลงประเด็นไปเรื่อยๆ
คดีนี้ แม้ว่าที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ จะลงมาติดตามด้วยตัวเองและให้แนวทางในการคลี่คลายคดีก็ตาม ลงพื้นที่เก็บพยานหลักฐานกันอย่างต่อเนื่อง ส่งกำลังเสริมเต็มพิกัด แม้กระทั่งส่งที่ปรึกษา สบ.10 ลงมาดูแลคดีนี้เอง พร้อมส่งชุดสืบสวนสอบสวนของตำรวจนครบาล และตำรวจกองปราบปราม ที่มีฝีมือ นับร้อยลงพื้นที่ เสริมทีมของกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 และตำรวจในพื้นที่
มีการจำลองเหตุการณ์และตั้งสมมติเหตุการณ์ตามพยานหลักฐานและนำเจ้าหน้าที่ตำรวจปูพรมหาพยานหลักฐาน เพื่อจำกัดวงการก่อเหตุให้แคบลง แต่สุดท้ายคดีก็ยังไม่มีอะไรคืบหน้ามากนัก และไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจสืบสวนเข้าใกล้ตัวคนร้ายแล้ว หรือผู้ต้องสงสัยเป็นใคร....
แต่เวลานี้ เท่าที่เห็นปรากฏตามสื่อต่างๆ หรือคนทั่วไป จะเห็นภาพ เจ้าหน้าที่ตำรวจไทย ยังคงเดินหน้าเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอ แรงงานต่างด้าวมาตรวจสอบอย่างต่อเนื่อง จนหลายคนสงสัยว่าจะต้องตรวจดีเอ็นเอผู้ชายบนเกาะเต่าทั้งเกาะ หรือยังไง ถึงจะได้ตัวคนร้ายมาดำเนินคดี
จนกระทั่งมีชาวบ้านแจ้งเบาะแสว่า พบชายต้องสงสัยหลบอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งบนเกาะสมุย ตำรวจก็เริ่มมีความหวังขึ้นมา บ้างว่าการสืบสวนเข้าใกล้ตัวคนร้ายแล้ว จึงเข้าไปเชิญตัวมาสอบเครียดพร้อมเพื่อนอีก 2 คน และเก็บตัวอย่างดีเอ็นเอไปตรวจเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอที่พบในนักท่องเที่ยว แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวังอีกจนได้ เมื่อผลดีเอ็นเอไม่ตรงกัน
ถึงเวลาต้องเริ่มต้นควานหาตัวคนร้ายรอบใหม่ ท่ามกลางกระแสข่าวและการวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยังคลำไม่ถูกเป้า เดินไม่ถูกทาง ยังไร้วี่แววเข้าใกล้ตัวคนร้ายที่ก่อเหตุ ต่างก็สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมการทำคดีนี้ถึงยังไม่มีความชัดเจน หรือแม้แต่สื่อต่างประเทศก็ออกมาวิจารณ์การทำงานของตำรวจไทยอย่างรุนแรงว่าทำงานแบบเร่งรีบแต่ไม่ตรงประเด็น และไม่เชื่อฝีมือตำรวจไทยในการคลี่คลายคดีนี้
กระทั่งมีการโพสต์ข้อความของนักท่องเที่ยวชาวสก็อตแลนด์ ที่บอกว่ารู้จักและเป็นเพื่อนกับนักท่องเที่ยวชายที่ที่ถูกฆ่า และสงสัยว่าการก่อเหตุในครั้งนี้ผู้กว้างขวางบนเกาะน่าจะมีส่วนรู้เห็น โดยอ้างว่าตัวเองก็ถูกข่มขู่จากผู้กว้างขวางด้วยเช่นกัน หลังได้ข้อมูลใหม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจเปลี่ยนเป้าหมายควานหาตัวคนร้ายอีกครั้ง
ครั้งนี้ พล.ต.ท.ปัญญา มาเม่น ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ลงพื้นที่คุมการทำงานเอง โดยจำกัดเป้าหมายให้แคบลงและมีความชัดเจนในตัวผู้ต้องสงสัยมากขึ้น พร้อมย้ำอิทธิพลบนเกาะเต่าไม่สามารถทำให้คดีนี้หยุดชะงักได้ จนวันที่ 23 กันยายจนได้เชิญตัว 2 พี่น้องผู้กว้างขวางบนเกาะเต่า คือ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 1 ต.เกาะเต่า เจ้าของสถานบันเทิงเอซีบาร์ และน้องชายเจ้าของ อินทัชรี สอร์ท มาให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจโดยใช้เวลาสอบเครียดนานหลายชั่วโมง รวมทั้งเก็บดีเอ็นเอไปตรวจสอบและได้ปล่อยตัวกลับไป ...เพราะก็ยังไม่ใช่อย่างที่คาดคิด แถมโดนจวกกลับว่า ตำรวจทำให้พวกเขาเสียหาย
ปัญหาที่ตำรวจไม่สามารถคลี่คลายคดีนี้ให้คืบหน้าได้ ผบช. ภ.8 ก็ยอมรับเป็นเพราะตำรวจวางกรอบการสืบสวนกว้างเกินไป ไม่มีความชัดเจนในตัวผู้ต้องสงสัย แต่ขณะนี้ได้ปรับแนวทางสืบสวนใหม่ให้อยู่ในวงจำกัด มุ่งเป้าไปที่บุคคลที่อยู่ใกล้ชิดในพื้นที่เกิดเหตุมากขึ้น ทำให้การรวบรวมพยานหลักฐานคืบหน้าไปกว่าร้อยละ 80 และมั่นใจว่าจะนำไปสู่การหาตัวผู้ลงมือก่อเหตุได้ในเร็วๆ นี้
...และจนถึงวันนี้ เหตุสะเทือนขวัญผ่านมากว่า10 วันแล้ว แต่การควานหาตัวผู้กระทำความผิดยังคว้าน้ำเหลว ล่าสุด สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ส่ง พล.ต.อ. เอก อังสนานนท์ รองผบ.ตร. ตำรวจผลงานเยี่ยม พร้อมทีม สืบสวนฝีมือดี ลงไปเกาะเต่า เพื่อคลี่คลายคดีนี้ ... ซึ่งจุดความหวังของคนในสังคม ที่เฝ้าจับตามองเรื่องนี้อย่างใจจดใจจ่ออีกครั้งว่า ตำรวจไทยจะได้ตัวคนร้ายเสียที