00 ทำไปทำมากลายเป็นว่า คดีฆ่าสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า อ.เกาะพะงัน จ.สุราษฎร์ธานี เมื่อสัปดาห์ก่อน กำลังทำให้ทั้งประเทศไทยต้องสั่นคลอน ไม่ต้องไปพูดถึงเครดิตของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รวมไปถึงระดับผู้บังคับบัญชาระดับสูงต้องกระทบกระเทือนอย่างหนัก อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในรอบหลายสิบปีมานี้ เวลานี้ประเทศเรากำลังโดนสื่อต่างประเทศ โดยเฉพาะสื่อจากอังอังกฤษที่ติดตามเกาะติดคดีดังกล่าวมาอย่างต่อเนื่องได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจในทางลบอย่างรุนแรง ซึ่งมีผลต่อภาพลักษณ์โดยรวมต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ ทั้งความน่าเชื่อถือ ความปลอดภัย จนมาถึงกระทบถึงการท่องเที่ยว กระทบรายได้ทางเศรษฐกิจตามมา
00 หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษดังกล่าว คือ น.ส.ฮันนาห์ วิเทอริดจ์ และ เดวิด มิลเลอร์ โดยรายแรกมีร่องรอยการถูกข่มขืนด้วย โดยหลังจากมีการพบศพ จอบ และท่อนไม้ ที่คาดว่าคนร้ายใช้เป็นอาวุธสังหาร เวลาผ่านไปเกือบสิบวันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่สามารถพบเบาะแสคนร้าย ข้อสันนิษฐานที่มีมาแต่เดิม ทั้งผู้ต้องสงสัยทั้งที่เป็นแรงงานต่างด้าว คนไทย เพื่อนชาวต่างชาติของผู้ตาย ก็ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เมื่อผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอ ไม่ตรงกับดีเอ็นเอที่พบในศพผู้ตาย นอกจากนี้ยังมีการตำหนิในเรื่องวิธีการทำงาน การให้ข้อมูลในทำนองว่า สะเปะสะปะ ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งถ้าตัดเอาเรื่องอารมณ์ความรู้สึกออกไป มองอย่างกลางๆ ก็ต้องยอมรับความจริงเหมือนกันว่า จริงอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ
00 อย่างไรก็ดี เมื่อยังไม่อาจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย และจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ ต้องมีการนับหนึ่งใหม่ ก็ต้องให้กำลังใจตำรวจให้ทำงานให้สำเร็จให้ได้โดยเร็วก็แล้วกัน เพราะงานนี้ถือว่า สตช. และหน้าตาของประเทศเป็นเดิมพันทีเดียว ขณะเดียวกัน เป็นการวางเดิมพันของ ว่าที่ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อีกด้วย ว่าจะสามารถบูรณาการจนสามารถจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ในที่สุดหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรก็ยังเชื่อมือของตำรวจไทยว่า "ทุกอย่างภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ทำได้"
00 แต่คราวนี้อาจแตกต่างไปก็คือ ดันมีสื่อต่างชาติ มีสถานทูตต่างชาติเฝ้าติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด และพร้อมวิจารณ์การทำงานแบบไม่ไว้หน้าเสียอีก มันก็ต้องมีความกดดัน แต่ถึงอย่างไรผลดีของการติดตามดังกล่าวจึงทำให้มั่นใจได้ว่า "ไม่มีแพะ" แน่นอน เพราะถ้าทำอย่างนั้นยิ่ง "ฉิบหาย" หนักไปใหญ่ และคนที่ซวยก็คงจะหนีไปพ้นผู้บังคับบัญชาสูงสุดนั่นแหละ เพราะเวลานี้ตั้งแต่รักษาราชการ ผบ.ตร. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ว่าที่ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา สบ. รวมทั้งมือดีด้านการสอบสวนสืบสวน ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน ตำรวจกองปราบฯ เรียกว่าเค้นเอาชนิดที่ดีที่สุดลงไปร่วมกับตำรวจในพื้นที่ มันก็คงต้องสำเร็จในไม่ช้า แต่ถ้าคว้าน้ำเหลว ก็ยุ่งแน่ !!
00 ที่บอกว่าคดีนี้สะเทือนกันทั้งชาติ ก็เพราะก่อนหน้านี้แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่เคยหลุดปากพูดพาดพิงไปถึงเรื่องนักท่องเที่ยวฝรั่ง "ใส่บิกินี" จนต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่มาแล้ว ตอนนั้นยังดีที่กลับลำเบรกทันก่อนที่จะเสียหายไปกันใหญ่ ขณะเดียวกันหากพูดว่า คดีฆ่าข่มขืนนักท่องเที่ยวอังกฤษคราวนี้กระทบเครดิตทั้งประเทศ และซ้ำเติมสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงไปอีกก็คงปฏิเสธความจริงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันหากฉวยโอกาสพลิกกลับมาปรับปรุงวิธีการทำงาน ปรับโครงสร้างปฏิรูปกันขนานใหญ่ ปรับปรุงเทคโนโลยี ด้านการพิสูจน์หลักฐานให้ทันสมัย มาตรฐานโลก ก็ต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ แต่ย้ำว่าให้กำลังใจให้จับกุมคนร้ายตัวจริงให้ได้ก่อนแล้วกัน !!
00 แย้มออกมาแล้วว่า ประเทศแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไปเยือนในฐานะนายกฯก็คือ พม่า ที่หมุนเวียนเป็นประธานอาเซียนอยู่ในขณะนี้ ก็ถือว่ามีความสำคัญในฐานะประเทศเพื่อบ้านที่มีรั้วติดกัน มีการค้าชายแดนที่เติบโตทุกวัน จากนั้นก็ไปมาเลย์ ราวปลายเดือนตุลาคม นี่ก็น่าจับตา เรื่องการเจรจาดับไฟใต้ ที่เขายังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก แต่เที่ยวนี้น่าจับตาก็คือ ฝ่ายโน้นมีท่าทีจริงจังกว่าเดิมโดยเฉพาะความร่วมมือในการจับกุมผู้ก่อการร้ายที่ถือสองสัญชาติ และหลบหนีไปกบดานตามรัฐชายแดน เช่น รัฐกลันตัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ควบคุมตัวให้เห็นบ้างแล้ว ทำให้การแก้ปัญหาพอมีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะนอกจากการ "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" จริงๆ แล้ว ที่สำคัญต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงใจจากฝ่ายมาเลย์ด้วย !!
00 หลังจากเกิดเหตุฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษดังกล่าว คือ น.ส.ฮันนาห์ วิเทอริดจ์ และ เดวิด มิลเลอร์ โดยรายแรกมีร่องรอยการถูกข่มขืนด้วย โดยหลังจากมีการพบศพ จอบ และท่อนไม้ ที่คาดว่าคนร้ายใช้เป็นอาวุธสังหาร เวลาผ่านไปเกือบสิบวันทางเจ้าหน้าที่ตำรวจกลับไม่สามารถพบเบาะแสคนร้าย ข้อสันนิษฐานที่มีมาแต่เดิม ทั้งผู้ต้องสงสัยทั้งที่เป็นแรงงานต่างด้าว คนไทย เพื่อนชาวต่างชาติของผู้ตาย ก็ต้องเปลี่ยนแปลงใหม่ เมื่อผลการพิสูจน์ดีเอ็นเอ ไม่ตรงกับดีเอ็นเอที่พบในศพผู้ตาย นอกจากนี้ยังมีการตำหนิในเรื่องวิธีการทำงาน การให้ข้อมูลในทำนองว่า สะเปะสะปะ ไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งถ้าตัดเอาเรื่องอารมณ์ความรู้สึกออกไป มองอย่างกลางๆ ก็ต้องยอมรับความจริงเหมือนกันว่า จริงอย่างที่เขาว่าจริงๆ นั่นแหละ
00 อย่างไรก็ดี เมื่อยังไม่อาจควบคุมตัวผู้ต้องสงสัย และจับกุมตัวผู้ต้องหาได้ ต้องมีการนับหนึ่งใหม่ ก็ต้องให้กำลังใจตำรวจให้ทำงานให้สำเร็จให้ได้โดยเร็วก็แล้วกัน เพราะงานนี้ถือว่า สตช. และหน้าตาของประเทศเป็นเดิมพันทีเดียว ขณะเดียวกัน เป็นการวางเดิมพันของ ว่าที่ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง อีกด้วย ว่าจะสามารถบูรณาการจนสามารถจับกุมคนร้ายตัวจริงได้ในที่สุดหรือไม่ เพราะถึงอย่างไรก็ยังเชื่อมือของตำรวจไทยว่า "ทุกอย่างภายใต้ดวงอาทิตย์นี้ทำได้"
00 แต่คราวนี้อาจแตกต่างไปก็คือ ดันมีสื่อต่างชาติ มีสถานทูตต่างชาติเฝ้าติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด และพร้อมวิจารณ์การทำงานแบบไม่ไว้หน้าเสียอีก มันก็ต้องมีความกดดัน แต่ถึงอย่างไรผลดีของการติดตามดังกล่าวจึงทำให้มั่นใจได้ว่า "ไม่มีแพะ" แน่นอน เพราะถ้าทำอย่างนั้นยิ่ง "ฉิบหาย" หนักไปใหญ่ และคนที่ซวยก็คงจะหนีไปพ้นผู้บังคับบัญชาสูงสุดนั่นแหละ เพราะเวลานี้ตั้งแต่รักษาราชการ ผบ.ตร. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ว่าที่ ผบ.ตร. พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง พล.ต.อ.จรัมพร สุระมณี ที่ปรึกษา สบ. รวมทั้งมือดีด้านการสอบสวนสืบสวน ฝ่ายพิสูจน์หลักฐาน ตำรวจกองปราบฯ เรียกว่าเค้นเอาชนิดที่ดีที่สุดลงไปร่วมกับตำรวจในพื้นที่ มันก็คงต้องสำเร็จในไม่ช้า แต่ถ้าคว้าน้ำเหลว ก็ยุ่งแน่ !!
00 ที่บอกว่าคดีนี้สะเทือนกันทั้งชาติ ก็เพราะก่อนหน้านี้แม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ ที่เคยหลุดปากพูดพาดพิงไปถึงเรื่องนักท่องเที่ยวฝรั่ง "ใส่บิกินี" จนต้องขอโทษขอโพยเป็นการใหญ่มาแล้ว ตอนนั้นยังดีที่กลับลำเบรกทันก่อนที่จะเสียหายไปกันใหญ่ ขณะเดียวกันหากพูดว่า คดีฆ่าข่มขืนนักท่องเที่ยวอังกฤษคราวนี้กระทบเครดิตทั้งประเทศ และซ้ำเติมสำนักงานตำรวจแห่งชาติลงไปอีกก็คงปฏิเสธความจริงไม่ได้ แต่ขณะเดียวกันหากฉวยโอกาสพลิกกลับมาปรับปรุงวิธีการทำงาน ปรับโครงสร้างปฏิรูปกันขนานใหญ่ ปรับปรุงเทคโนโลยี ด้านการพิสูจน์หลักฐานให้ทันสมัย มาตรฐานโลก ก็ต้องบอกว่าถึงเวลาแล้วจริงๆ แต่ย้ำว่าให้กำลังใจให้จับกุมคนร้ายตัวจริงให้ได้ก่อนแล้วกัน !!
00 แย้มออกมาแล้วว่า ประเทศแรกที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะไปเยือนในฐานะนายกฯก็คือ พม่า ที่หมุนเวียนเป็นประธานอาเซียนอยู่ในขณะนี้ ก็ถือว่ามีความสำคัญในฐานะประเทศเพื่อบ้านที่มีรั้วติดกัน มีการค้าชายแดนที่เติบโตทุกวัน จากนั้นก็ไปมาเลย์ ราวปลายเดือนตุลาคม นี่ก็น่าจับตา เรื่องการเจรจาดับไฟใต้ ที่เขายังทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยความสะดวก แต่เที่ยวนี้น่าจับตาก็คือ ฝ่ายโน้นมีท่าทีจริงจังกว่าเดิมโดยเฉพาะความร่วมมือในการจับกุมผู้ก่อการร้ายที่ถือสองสัญชาติ และหลบหนีไปกบดานตามรัฐชายแดน เช่น รัฐกลันตัน ซึ่งที่ผ่านมาก็ควบคุมตัวให้เห็นบ้างแล้ว ทำให้การแก้ปัญหาพอมีความหวังขึ้นมาบ้าง เพราะนอกจากการ "เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา" จริงๆ แล้ว ที่สำคัญต้องได้รับความร่วมมืออย่างจริงใจจากฝ่ายมาเลย์ด้วย !!