คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...เมือง ไม้ขม
การเปิดเกมรุกต่อผู้ก่อความมาสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของ พล.ท.วลิต โรจนภักดี แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ภายใต้ชื่อแผน “พรานพิฆาตไพรี” นับเป็นความตั้งใจของ พล.ท.วลิต ในการที่จะแก้ปัญหาความรุนแรงในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะมีทิศทางที่ดีขึ้น รวมทั้งไม่ขานรับกต่อแนวทาง “พูดคุยสันติสุข” ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) แต่อย่างใด
แผน “พรานพิฆาตไพรี” น่าจะเป็นแผนหรือยุทธการแรกๆ ที่มีการตั้งชื่ออย่างเป็นทางการ เพราะตลอดระยะเวลาร่วม 10 ปีที่เกิดความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งมีการส่ง “แม่ทัพ” มาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไม่ต่ำกว่า 6 คน เพิ่งจะมีการตั้งชื่อยุทธการอย่างเป็นทางการในสมัยที่ พล.ท.วลิต เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 นี่เอง
ผู้เขียนเคยพูดอยู่เสมอว่า การแก้ปัญหาความมาสงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คนเป็นแม่ทัพต้องเปิดเกม “รุก” และกองทัพจะต้อง “รบ” เพราะการรบเป็นหน้าที่โดยตรงของทหาร แต่การรบที่กล่าวนั้นไม่ได้หมายถึงการใช้อาวุธไปรบราฆ่าฟันกับแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือผู้ที่เห็นต่าง แต่หมายถึงการรบกับความไม่ถูกต้อง รบกับความอยุติธรรมที่เกิดขึ้นในพื้นที่ รบกับความยากจน ความเจ็บไข้ได้ป่วย ความไม่รู้ของคนในพื้นที่ และอีกมากมายสารพันปัญหาที่เกิดขึ้น และดำรงอยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้
ที่สำคัญคือ คนเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ต้องรบกับความไม่ถูกต้องของกำลังพล ของหน่วยงานต่างๆ ที่เรียกกันว่า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และรบกับการทุจริตคอร์รัปชันในแต่ละหน่วยงานที่จับจ้องในการค้ากำไรจากงบประมาณที่ใช้ในการดับไฟใต้
อันเป็นปัญหาภายในที่ทำให้การดับไฟใต้ไม่ประสบความสำเร็จมาโดยตลอด เช่นเดียวกับแนวทางการพูดคุยกับบรรดาผู้ที่เห็นต่างในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญกว่าการที่จะไปพูดคุยกับขบวนการฯ หรือกลุ่มก้อนของขบวนการฯ ที่อยู่ในต่างประเทศ ที่แม้จะมีการประกาศอย่างชัดเจนจากเรียวปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. และหัวหน้า คสช. แต่เชื่อว่าคงจะยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า และการพูดคุยสันติสุขกับขบวนการแบ่งแยกดินแดนในต่างประเทศ โดยให้รัฐบาลมาเลเซียเป็นผู้อำนวยความสะดวกยังจะไม่เกิดขึ้นในขณะนี้
เหตุผลคือ หัวขบวนหลักๆ อย่างน้อย 2 ท่าน ได้แก่ นายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ซึ่งโดยตำแหน่งย่อมเป็นกำลังสำคัญในการพูดคุยสันติสุข เขากำลังจะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 กันยายนนี้ ในขณะที่ พล.อ.อุดมเดช สีตะบุตร รอง ผบ.ทบ. ซึ่งทำหน้าที่เป็นประธานคณะทำงานแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็กำลังจะขยับขึ้นเป็นเบอร์หนึ่งของกองทัพคือ ผบ.ทบ. แทน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
นั่นหมายความว่า ตำแหน่งประธานคณะทำงานแก้ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ต้องเปลี่ยนตัวอีกครั้ง ซึ่งอาจจะเป็น พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา หรือจะเป็นใครก็ยังไม่ทราบแน่ชัด รวมถึงขณะนี้การแต่งตั้งคณะกรรมการชุดต่างๆ อีก 3-4 ชุด เพื่อทำหน้าที่ในการพูดคุยสันติสุขกับตัวแทนของขบวนการแบ่งแยกดินแดนกลุ่มต่างๆ ก็ยังไม่มีการเคาะชื่อให้สังคมได้รับทราบ
ที่สำคัญ แม้ว่าจะมีเจ้าหน้าที่ชุดหนึ่งที่เดินสายไปทำหน้าที่ประสานงานกับฝ่ายรัฐบาลมาเลเซีย และกับแกนนำขบวนการฯ ต่างๆ ในมาเลเซีย รวมถึงกลุ่มเห็นต่างอื่นๆ แต่ปรากฏการณ์ที่สะท้อนออกมาคือ กลุ่มของขบวนการฯ ยังนิ่ง และค่อนข้างจะเงียบเหมือนกับจะไม่ตอบโจทย์การพูดคุยที่จะมีขึ้นเท่าที่ควร
ในขณะที่มาเลเซียเองได้จับจ้อง และติดตามเกมการพูดคุยสันติสุขครั้งนี้ของ คสช.อย่างเกาะติด โดยแหล่งข่าววงในฝ่ายความความมั่นคงประเทศมาเลเซียได้ทราบเรื่อง และเกิดความไม่สบายใจกับวิธีการของ “ใครบางคน” ฝ่ายไทยที่มีการประสานงานกับประเทศอินโดนีเซีย เพื่อดึงให้ผู้นำอินโดนีเซียเข้ามามีส่วนร่วมในโต๊ะการพูดคุยสันติสุขที่กำลังจะเกิดขึ้นด้วย
ทั้งนี้ มาเลเซียอาจจะเห็นว่าไทยกำลังลดบทบาทของมาเลเซีย โดยไปแชร์บทบาทการเป็นคนกลางให้แก่ประเทศอินโดนีเซีย ในลักษณะการถ่วงดุลในภูมิภาคอาเซียน เพราะไทยเองมีข้อมูลในทางลับถึงบทบาทของมาเลเซียในฐานะผู้อำนวยความสะดวกในการพูดคุยสันติภาพยุคของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้อยู่เบื้องหลังอย่างสำคัญยิ่ง รวมทั้งหากการพูดคุยครั้งต่อไปมีผลสำเร็จ มาเลเซียจะเป็นประเทศที่สามารถตักตวงผลประโยชน์ในหลายด้านในภูมิภาคอาเซียน
ดังนั้น การที่ “ใครบางคน” ไปจับมือกับอินโดนีเซียก็เพื่อให้เป็นหุ้นส่วนของการสร้างสันติสุขด้วย สุดท้ายแล้วอาจจะไม่เป็นผลดีต่อการพูดคุยสันติสุขของ คสช.ที่กำลังจะเกิดขึ้นก็เป็นไปได้
เมื่อการพูดคุยกับขบวนการฯ ที่ทำตัวเป็นส่วนหัวอยู่นอกประเทศยังอยู่ในสภาวะ “ยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก” สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ การสร้างสันติสุข โดยการแก้ปัญหาภายในของเราเอง เพราะโดยข้อเท็จจริงผู้นำกองทัพทุกคนต่างยืนยันต่อสังคมมาโดยตลอดว่า ปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นปัญหา “ภายใน” และไม่เคยเห็นด้วยที่จะให้คน “ภายนอก” เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ปัญหา
ดังนั้น การดึงเอามาเลเซียก็ดี การต้องการถ่วงดุลเพิ่มด้วยการดึงอินโดนีเซียเข้ามาเป็นหุ้นส่วนในการสร้างสันติสุขกับจังหวัดชายแดนภาคใต้ของเราครั้งใหม่ก็ดี อาจจะเป็นเพียงพิธีการหนึ่งของกุศโลบายทั้งด้าน “การเมือง” และ “การทหาร” เพื่อการสร้างภาพลักษณ์ให้ดูดีในสายตาของชนชาวโลกเท่านั้น เพราะโดยใจจริงกองทัพ หรือ คสช.ต้องการที่จะแก้ปัญหาความไม่สงบที่เกิดขึ้นด้วยตนเอง โดยที่ไม่ต้องพึ่งบริการจากประเทศอื่น หรือบุคคลภายนอกแต่อย่างใด
ดังนั้น เมื่อกองทัพต้องการที่จะดับไฟใต้ด้วยตนเอง สิ่งที่น่าจะต้องทำคือ ต้องกลับมาดูถึงข้อบกพร่องของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ในการดับไฟใต้ที่ผ่านมา 10 ปีว่า มีข้อ “ผิดพลาด” ที่ตรงไหน เพื่อที่จะได้ปิดรูโหว่ ปิดช่องว่าง และเสริมสิ่งใหม่ๆ เข้าไป
เช่น ต้องถามตนเองว่า กองทัพภาคที่ 4 หรือ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้ทุ่มเทงบประมาณทำงานด้าน “การเมือง” ในการสื่อสารข้อเท็จจริงต่อประชาชนในพื้นที่มาอย่างยาวนาน แต่ทำไม่จึงยังไม่สามารถ “สื่อสาร” เพื่อให้มวลชนหันมาสนับสนุนรัฐ หรือกองทัพเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการร่วมดับไฟใต้ได้
ต้องถามตนเองว่า ทำไมโครงการอันมากมายที่เกี่ยวกับการส่งเสริมศาสนา และผู้นำศาสนาที่กองทัพนำมาใช้ในการดึงผู้นำศาสนาเพื่อแก้ปัญหาความไม่สงบ และสร้างความเข้าใจแก่คนในพื้นที่ โดยหมดงบประมาณไปจำนวนมาก แต่ทำไม่จึงยังมีคำตอบว่า “เสียเงิน แต่ไม่ได้ใจ”
กองทัพลองวางตัวเป็นกลาง แล้วตอบข้อสงสัยของคนในพื้นที่ว่า ทำไมกำลังพลเฉพาะของกองทัพ จำนวน 65,000 นาย ในพื้นที่ 3 จังหวัด จึงมองไม่เห็นการตัดไม้ทำลายป่า การบุกรุกป่าสงวนแห่งชาติ โดยปล่อยให้มีการทำลายทรัพยากรธรรมชาติกันอย่างเอกเกริก และเพิ่งจะมามองเห็น และตื่นตัวในยุคที่มี คสช.บริหารประเทศ
กองทัพลองตอบคำถามของประชาชนอีกข้อว่า จุดตรวจ จุดสกัด ซึ่งมีอยู่จำนวนมากบนถนนสายหลัก และสายรองในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ทำไมจึงไม่เห็นการขนถ่านน้ำมันเถื่อนบนถนนเหล่านั้น หรือทั่วทั้งจังหวัดชายแดนภาคใต้มีพ่อค้าน้ำมันเถื่อนที่ชื่อ “เสี่ยโจ้” เหลือยู่เพียงคนเดียวเท่านั้นหรือ
ยังมีอีกมากคำถามที่ไม่ได้ต้องการ “ย้อนแย้ง” เพียงแต่ต้องการให้ทุกหน่วยงานที่ประกอบเป็น กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ได้หันกลับไปสำรวจตนเอง เพื่อที่จะพบว่าสาเหตุที่ยังสร้างศรัทธา สร้างความเชื่อมั่นต่อประชาชนในพื้นที่ไม่ได้ ล้วนมาจากปัจจัยภายในทั้งนั้น
ถ้ากองทัพมีการค้นพบ “รูรั่ว” ของตนเอง และรู้จัก “อุดรูรั่ว” เหล่านี้ได้ เราอาจจะดับไฟใต้ได้โดยไม่ต้องใช้กุศโลบายดึงทั้งมาเลเซีย และอินโดนีเซียมา “สร้างภาพ” เพื่อสร้าง “สันติสุข” ให้แก่ประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ก็เป็นได้