ปัตตานี - นักวิชาการอิสระในพื้นที่ปัตตานียิ้ม หลัง คสช.ประกาศสถานการณ์ไฟใต้เป็นวาระแห่งชาติ รับเป็นปัญหาที่สะสมมานานนับ 10 ปี ยากต่อการแก้ไข ประชาชนเริ่มเบื่อหน่ายต่อแนวทางแก้ไขแบบเดิม ชี้การแก้ปัญหาจะต้องทำในหลายมิติโดยไม่ใช้ความรุนแรง เผยที่ผ่านมา แต่ละรัฐบาลมีนโยบายที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนทำให้หลายฝ่ายเกิดความสับสน
วันนี้ (1 ส.ค.) จากกรณีปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นานนับหลายสิบปี ที่รัฐบาลไทยพยายามหาแนวทาง และกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละสมัยที่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทั้งความจริงใจ และความจริงจังต่อการแก้ไขปัญหา จะเห็นได้ว่า เหตุความรุนแรงในพื้นที่บางครั้งเกี่ยวโยงโดยตรงกับนโยบายที่นำสู่การปฏิบัติอย่างสิ้นเชิง โดยนโยบายการกวาดล้างถอนรากถอนโคนในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เกิดเปลวไฟโหมขึ้นมาอีกเป็นระลอกใหญ่ ตราบจนทุกวันนี้ การเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้ารัฐบาลบ่อยครั้ง จึงทำให้นโยบายต่อการแก้ไขปัญหาถูกเปลี่ยนไป ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่ต่อเนื่อง ทำให้ผลการแก้ไขไม่สามารถเป็นรูปธรรมได้ ปัญหาภาคใต้ก็ยังคงนิ่งอยู่ในพื้นที่รอผู้มีอำนาจอย่างจริงจังเข้ามาแก้ไข
การที่ทาง คสช.ได้ยกระดับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นวาระแห่งชาติ นับเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สะสมมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าปัญหาด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ตลอดจนด้านสาธารณสุข ที่รอการแก้ไข ไม่เฉพาะปัญหาความรุนแรงที่ระอุขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเกือบสิบปี ซึ่งล้วนแต่เป็นเพราะความล้มเหลวของการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง นักวิชาการปัตตานีสอดรับต่อการยกระดับปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อนำสู่การแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องและจริงจังกันเสียที
ด้านนายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิชาการอิสระปัตตานี กล่าวว่า นับเป็นเรื่องดีที่ทาง คสช.ยกปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็นเรื่องที่ผู้ต่อต้านอำนาจรัฐ และนักเคลื่อนไหวในพื้นที่ และนอกพื้นที่ได้เรียกร้องมานาน เพื่อที่จะได้นำปัญหาที่เกิดขึ้นสู่การแก้ไข ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ตาม ปัญหาก็จะถูกสู่กระบวนการแก้ไข
ต้องยอมรับปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาสะสมมานานหลายสิบปี การแก้ปัญหาต้องแก้ในหลายมิติ ปัญหาด้านการเมือง การปกครอง การทหาร การยุติธรรม การศึกษา เศรษฐกิจและสังคม เพราะถ้าแก้ไขปัญหาโดยใช้กำลังอย่างเดียวนับเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาด้านการทหารเพียงด้านเดียว ซึ่งไม่สามารถที่จะทำให้ปัญหาภาคใต้สงบสุขได้เลย
ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้เบื่อหน่ายต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ดังนั้น เมื่อทาง คสช.ที่มีอำนาจเต็ม จะต้องนำเสนอ และแก้ปัญหาแนวทางอื่นๆ อย่างจริงจังพร้อมกันด้วย ซึงความจริงการยกปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ เป็นความต้องการของทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐ ตลอดจนนักเคลื่อนไหวทั้งในและนอกพื้นที่ เพราะที่ผ่านมา ปัญหาชายแดนภาคใต้ถูกแก้ไขโดยรัฐบาล ซึ่งแต่ละรัฐบาลมีนโยบายที่แตกต่างกันไป ที่สำคัญที่ผ่านมา รัฐใช้เพียงแนวทางการทหารมามากกว่าใช้แนวทางอื่น เมื่อ คสช.เสนอเป็นเป็นวาระแห่งชาติ สำคัญคือ “กระบวนการที่เข้ามาร่วมกันของการแก้ไขปัญหาต้องใช้ทุกภาคส่วนด้วยความจริงจังที่มีแนวทางที่ชัดเจน”
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง ระบุแนวโน้มปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะทวีความรุนแรงหลังจากนี้นั้นที่ทุกฝ่ายกำลังเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ว่ารัฐบาลต้องรีบส่งสัญญาณที่ชัดเจน ของการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วยกระบวนการสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าสัญญาณไม่ชัดเจน หรือมีความคลุมเครือ สถานการณ์ในพื้นที่ยังเป็นสีเทา ความสันติสุขและสงบสุขอย่าได้หวังอีกเลย
ส่วนกรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่นับวันยิ่งสร้างความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะได้มีกลุ่มชีอะห์ที่นิยมความรุนแรงเข้ามามีส่วนร่วมกับขบวนการองค์กรปลดปล่อยปัตตานี หรือ BRN ในการก่อความไม่สงบในพื้นที่ และมีความเชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองของประเทศมาเลเซียที่ถูกมหาอำนาจแทรกแซง ทำให้ปัญหาภาคใต้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และจะเพิ่มความความรุนแรงยิ่งขึ้นอีกหลังจากนี้ โดยเฉพาะกระแสการเป็นนักรบพระเจ้าของมุสลิมจากตะวันออกกลาง จะก่อเกิดความสัมพันธ์โดยตรงกับนักต่อสู้ หรือคนจูแวในพื้นที่
นายอัฮหมัคสมบูรณ์ บัวหลวง ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่บางกลุ่มพยายามที่จะเชื่อมโยงกัน ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 ส่วนไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ เลย ต้องยอมรับว่าการต่อสู้ของคนปัตตานีภายใต้ชื่ออะไรก็ตามหรือ “คนจูแว” ได้มีมานานแล้ว เป็นการต่อสู้เพื่อคนปัตตานีโดยบริสุทธิ์ไม่ได้แบ่งแยกชนชาติ และศาสนา ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง หรือมีปฏิสัมพันธุ์อะไรกับโลกตะวันออกกลางเลยเพราะที่นั้นมุสลิมที่ต่อสู้กับยิว แต่สำหรับที่นี่ไม่มียิว จึงไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวมาโยงแล้วไม่สนใจกับสิ่งที่คนในพื้นที่เรียกร้องเพื่อก่อเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง
วันนี้ (1 ส.ค.) จากกรณีปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นานนับหลายสิบปี ที่รัฐบาลไทยพยายามหาแนวทาง และกำหนดแนวทางการแก้ไขปัญหาความไม่สงบในพื้นที่เป็นไปตามนโยบายของรัฐบาลในแต่ละสมัยที่มีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ทั้งความจริงใจ และความจริงจังต่อการแก้ไขปัญหา จะเห็นได้ว่า เหตุความรุนแรงในพื้นที่บางครั้งเกี่ยวโยงโดยตรงกับนโยบายที่นำสู่การปฏิบัติอย่างสิ้นเชิง โดยนโยบายการกวาดล้างถอนรากถอนโคนในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ทำให้ปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เกิดเปลวไฟโหมขึ้นมาอีกเป็นระลอกใหญ่ ตราบจนทุกวันนี้ การเมืองไทยมีการเปลี่ยนแปลงหัวหน้ารัฐบาลบ่อยครั้ง จึงทำให้นโยบายต่อการแก้ไขปัญหาถูกเปลี่ยนไป ทำให้การแก้ไขปัญหาไม่ต่อเนื่อง ทำให้ผลการแก้ไขไม่สามารถเป็นรูปธรรมได้ ปัญหาภาคใต้ก็ยังคงนิ่งอยู่ในพื้นที่รอผู้มีอำนาจอย่างจริงจังเข้ามาแก้ไข
การที่ทาง คสช.ได้ยกระดับปัญหาความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นวาระแห่งชาติ นับเป็นนิมิตหมายที่ดีสำหรับการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่สะสมมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าปัญหาด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา ตลอดจนด้านสาธารณสุข ที่รอการแก้ไข ไม่เฉพาะปัญหาความรุนแรงที่ระอุขึ้นมาอย่างต่อเนื่องเกือบสิบปี ซึ่งล้วนแต่เป็นเพราะความล้มเหลวของการแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างสิ้นเชิง นักวิชาการปัตตานีสอดรับต่อการยกระดับปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ เพื่อนำสู่การแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องและจริงจังกันเสียที
ด้านนายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง นักวิชาการอิสระปัตตานี กล่าวว่า นับเป็นเรื่องดีที่ทาง คสช.ยกปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ เพราะเป็นเรื่องที่ผู้ต่อต้านอำนาจรัฐ และนักเคลื่อนไหวในพื้นที่ และนอกพื้นที่ได้เรียกร้องมานาน เพื่อที่จะได้นำปัญหาที่เกิดขึ้นสู่การแก้ไข ถึงแม้จะมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลก็ตาม ปัญหาก็จะถูกสู่กระบวนการแก้ไข
ต้องยอมรับปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาสะสมมานานหลายสิบปี การแก้ปัญหาต้องแก้ในหลายมิติ ปัญหาด้านการเมือง การปกครอง การทหาร การยุติธรรม การศึกษา เศรษฐกิจและสังคม เพราะถ้าแก้ไขปัญหาโดยใช้กำลังอย่างเดียวนับเป็นเพียงการแก้ไขปัญหาด้านการทหารเพียงด้านเดียว ซึ่งไม่สามารถที่จะทำให้ปัญหาภาคใต้สงบสุขได้เลย
ประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้เบื่อหน่ายต่อแนวทางการแก้ไขปัญหาแบบเดิมๆ ดังนั้น เมื่อทาง คสช.ที่มีอำนาจเต็ม จะต้องนำเสนอ และแก้ปัญหาแนวทางอื่นๆ อย่างจริงจังพร้อมกันด้วย ซึงความจริงการยกปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เป็นวาระแห่งชาติ เป็นความต้องการของทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายต่อต้านอำนาจรัฐ ตลอดจนนักเคลื่อนไหวทั้งในและนอกพื้นที่ เพราะที่ผ่านมา ปัญหาชายแดนภาคใต้ถูกแก้ไขโดยรัฐบาล ซึ่งแต่ละรัฐบาลมีนโยบายที่แตกต่างกันไป ที่สำคัญที่ผ่านมา รัฐใช้เพียงแนวทางการทหารมามากกว่าใช้แนวทางอื่น เมื่อ คสช.เสนอเป็นเป็นวาระแห่งชาติ สำคัญคือ “กระบวนการที่เข้ามาร่วมกันของการแก้ไขปัญหาต้องใช้ทุกภาคส่วนด้วยความจริงจังที่มีแนวทางที่ชัดเจน”
นายอัฮหมัดสมบูรณ์ บัวหลวง ระบุแนวโน้มปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จะทวีความรุนแรงหลังจากนี้นั้นที่ทุกฝ่ายกำลังเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิด ว่ารัฐบาลต้องรีบส่งสัญญาณที่ชัดเจน ของการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ด้วยกระบวนการสันติวิธี ไม่ใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา เพราะถ้าสัญญาณไม่ชัดเจน หรือมีความคลุมเครือ สถานการณ์ในพื้นที่ยังเป็นสีเทา ความสันติสุขและสงบสุขอย่าได้หวังอีกเลย
ส่วนกรณีการเคลื่อนไหวของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบในพื้นที่นับวันยิ่งสร้างความรุนแรงมากยิ่งขึ้น เพราะได้มีกลุ่มชีอะห์ที่นิยมความรุนแรงเข้ามามีส่วนร่วมกับขบวนการองค์กรปลดปล่อยปัตตานี หรือ BRN ในการก่อความไม่สงบในพื้นที่ และมีความเชื่อมโยงกับปัญหาการเมืองของประเทศมาเลเซียที่ถูกมหาอำนาจแทรกแซง ทำให้ปัญหาภาคใต้ทวีความรุนแรงมากยิ่งขึ้น และจะเพิ่มความความรุนแรงยิ่งขึ้นอีกหลังจากนี้ โดยเฉพาะกระแสการเป็นนักรบพระเจ้าของมุสลิมจากตะวันออกกลาง จะก่อเกิดความสัมพันธ์โดยตรงกับนักต่อสู้ หรือคนจูแวในพื้นที่
นายอัฮหมัคสมบูรณ์ บัวหลวง ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าเป็นเรื่องที่บางกลุ่มพยายามที่จะเชื่อมโยงกัน ทั้งๆ ที่ทั้ง 2 ส่วนไม่ได้มีความสัมพันธ์ใดๆ เลย ต้องยอมรับว่าการต่อสู้ของคนปัตตานีภายใต้ชื่ออะไรก็ตามหรือ “คนจูแว” ได้มีมานานแล้ว เป็นการต่อสู้เพื่อคนปัตตานีโดยบริสุทธิ์ไม่ได้แบ่งแยกชนชาติ และศาสนา ไม่ได้มีอะไรแอบแฝง หรือมีปฏิสัมพันธุ์อะไรกับโลกตะวันออกกลางเลยเพราะที่นั้นมุสลิมที่ต่อสู้กับยิว แต่สำหรับที่นี่ไม่มียิว จึงไม่ควรนำเรื่องดังกล่าวมาโยงแล้วไม่สนใจกับสิ่งที่คนในพื้นที่เรียกร้องเพื่อก่อเกิดความสงบสุขอย่างแท้จริง