xs
xsm
sm
md
lg

“ณัฐวดี ดอกกะฐิน” ฝันเป็นจริงที่ได้ยืนบนเวที “เดอะสตาร์”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


“เดอะสตาร์” เวทีของคนมีฝันที่จะก้าวสู่การเป็นนักร้อง นักแสดง เช่นเดียวกับ น้องนัท “ณัฐวดี ดอกกะฐิน” สาวน้อยชาวภูเก็ต นักเรียนชั้น ม.6 โรงเรียนสตรีภูเก็ต ที่มีความฝันอยากจะเป็นนักร้อง นักแสดง ซึ่งเธอได้ก้าวสู่รอบ 8 คนสุดท้ายของเวทีเดอะสตาร์ 10 แม้เธอจะไม่ได้คว้าตำแหน่งเดอะสตาร์ คนที่ 10 ของเมืองไทย เหมือนรุ่นพี่เด็กภูเก็ต อย่างแก้ม และโดม เดอะสตาร์ แต่เธอก็พอใจ และมีความสุขที่ได้มายืนเป็นเวทีเดอะสตาร์ “ASTVผู้จัดการภาคใต้” ได้พูดคุยกับน้องนัท เดอะสตาร์ ถึงชีวิตที่ผ่านความฝัน สิ่งที่อยากทำของสาวน้อยคนนี้
เข้าพบผู้ว่าฯภูเก็ต เพื่อขอบคุณที่ช่วยกันโหวตเชียร์
ทำไมถึงตัดสินใจเข้าประกวดเวทีเดอะสตาร์

คุณแม่เป็นแรงบันดาลใจที่ช่วยผลักดันตัดสินใจเข้าประกวดในเวทีนี้ ประกอบกับคิดว่าตัวเองมีความพร้อมในทุกเรื่อง ทั้งเรื่องเสียง และเรื่องของการเรียน รวมทั้งเรื่องอื่นๆ จึงตัดสินใจไปร่วมประกวด เพราะตัวเราเองก็อยากที่จะเข้าประกวดในเวทีนี้อยู่แล้ว คิดว่าจะทำให้ความฝันของครอบครัวเป็นจริงที่เห็นเราขึ้นไปอยู่บนเวทีเดอะสตาร์

โดยรอบออดิชันสมัครคัดเลือกที่ภูเก็ต ซึ่งในการไปประกวดรู้สึกตื่นเต้นมากเพราะมีคนไปร่วมออดิชันเยอะมาก แต่โชคดีที่ได้เข้าออดิชันเป็นอันดับต้นๆ ทำให้รู้ผลเร็ว เพราะพอเข้าออดิชันจะทราบผลทันที่ว่าจะได้เข้ารอบต่อไปหรือไม่ ซึ่งมีให้ลุ้นตลอดเวลา เมื่อผ่านรอบแรกเข้าไปจะต้องไปแข่งต่อในรอบของแทรนเนอร์ ซึ่งมีจำนวน 19 คน หลังจากนั้นจะต้องไปคัดต่ออีกหลายรอบ จนเหลือรอบตัวแทนภาคที่แต่ละภาคจะต้องคัดให้เหลือภาคละ 6 คน และไปคัดต่อเพื่อเข้ารอบ 8 คนสุดท้าย ซึ่งเป็นช่วงที่มีความตื่นเต้น และลุ้นมาโดยตลอด จนในที่สุดเราก็สามารถทำได้และได้ขึ้นไปอยู่บนเวทีเดอะสตาร์ ซึ่งเป็นความฝันของครอบครัว และตัวเองที่อยากขึ้นมาอยู่ในเวทีแห่งนี้

แนวเพลงถนัดในการร้องเพลงนั้นจะเป็นแนวลูกทุ่ง และป็อปแจ๊ซ แต่เพลงที่เลือกร้องในรอบแรกที่ออดิชันนั้นเลือกร้องเพลง นาฬิกาตาย ของ บอดี สแลม โดยเอามาทำเป็นแนวเพลงของตัวเอง ช้าๆ ป็อปๆ ส่วนรอบภาค เลือกร้องเพลง ขอเพลงที่พักใจ ส่วนรอบ 8 คนสุดท้าย ร้องเพลง ทำไมต้องเธอ หลายคนถามว่าในเมื่อถนัดเพลงลูกทุ่งทำไมไม่ร้องเพลงลูกทุ่ง จริงแล้ว อยากเก็บเพลงลูกทุ่งไว้เซอร์ไพรส์คนดู ให้เห็นว่าเพลงลูกทุ่งเราก็สามารถที่จะร้องได้

หลังได้เข้าสู่รอบ 8 คนสุดท้ายรู้สึกอย่างไรบ้าง

รู้สึกตกใจ และดีใจมาก เหมือนยกภูเขาออกจากอก คิดว่าในที่สุด ฉันก็ทำได้ ที่สามารถทำตามความฝันได้แล้ว ซึ่งเป็นความฝันของครอบครัว และเราสามารถทำสำเร็จมาได้ครึ่งทางแล้ว โดยวันนั้นได้รับการประกาศชื่อเป็นคนแรกว่าได้เข้ารอบ 8 คน เมื่อออกมาแม่ถามว่าทำได้หรือเปล่า เมื่อบอกแม่ว่าหนูสามารถทำตามความฝันได้แล้ว แม่ก็ร้องไห้ด้วยความดีใจ หลังจากผ่านรอบ 8 คนสุดท้าย ก็ต้องเข้าไปอยู่ในบ้านเดอะสตาร์ เมื่อเข้าไปอยู่ในบ้านก็ต้องซ้อมร้อง ซ้อมเต้น เรียนแอ็กติ้ง เวลาทั้งหมดในบ้านเดอะสตาร์ ก็จะอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่จะมีเวลาว่างบ้าง แต่เวลาว่างทางทีมงานก็จะนำแผ่นซีดีการแสดงคอนเสิร์ตของศิลปินมาให้เราดูเพื่อเรียนรู้ว่าเวลาอยู่บนเวที เขาแสดงกันอย่างไร ทำตัวกันอย่างไร

ขึ้นร้องเพลงบนเวทีเดอะสตาร์ครั้งแรกรู้สึกอย่างไร

รู้สึกตื่นเต้นมาก ก่อนขึ้นเวทีก็หันหน้าไปหาเพื่อน พร้อมกับบอกว่า ตื่นเต้นจัง เมื่อขึ้นไปยืนบนเวทีเห็นแฟนคลับที่เข้ามาให้กำลังใจ ส่งเสียงเชียร์จำนวนมาก ซึ่งในเวลานั้นรู้สึกทั้งตื่นเต้น ทั้งตื่นตันใจ จนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และรู้สึกดีที่มีคนรัก และให้กำลังใจมากขนาดนั้น แต่ในเวลานั้นเราจะมัวตื่นเต้นอยู่ไม่ได้ สิ่งที่จะต้องทำให้ได้คือ ร้องเพลงแรกออกมาให้ดีที่สุด สิ่งที่นึกถึงในเวลานั้นคือนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นึกถึงพระ ซึ่งเป็นสิ่งยึดเหนียวจิตใจของทุกคนอยู่แล้ว ตัวเองเป็นคนที่เวลาตื่นเต้นจะทำอะไรไม่ค่อยถูก และสิ่งที่ นัท นำมาใช้เพื่อสยบความตื่นเต้น คือ เรื่องของสมาธิ และตั้งสติ หายใจเข้าลึกๆ สวดมนต์ภาวนาขอให้ผ่านไปด้วยดี จนสามารถควบคุมอารมณ์ตัวเองได้ และแสดงคอนเสิร์ตจนผ่านพ้นไปด้วยดี

เมื่อมีการประกาศชื่อคนที่จะต้องตกรอบแรกในจำนวน 8 คน รู้สึกอย่างไร
 
ตอนนั้นเหมือนรู้ตัวอยู่แล้วว่า ไม่ผ่านเข้าไปในรอบต่อไปอย่างแน่นอน ซึ่งช่วงที่ยืนอยู่ 2 คนสุดท้าย ก็มีคุยกันอยู่ตลอด ซึ่งตอนนั้นก็บอกพี่ที่ยืนอยู่ด้วยว่า หนูตกรอบแน่นอน แต่ตอนนั้นก็ไม่ได้เสียใจมากมาย เพราะเราทำใจอยู่แล้ว ที่ผ่านมาแค่เข้ารอบ 8 คน สุดท้ายก็รู้สึกดีใจ และภูมิใจมากแล้ว ถ้าถามว่าหวังหรือเปล่า เชื่อว่าทุกคนต้องหวังที่จะไปให้ถึงเป้าหมายที่วางไว้ แต่เมื่อเราเข้ามาแล้ว และไปไม่ถึงตามที่ตั้งใจไว้ก็ไม่เสียใจ เพราะอย่างน้อยเราก็ได้เข้ามาถึง 8 คนสุดท้าย ซึ่งการจะก้าวเข้ามาตรงนี้ได้จะต้องผ่านคนเป็นหมื่นๆ คนเข้ามา เราทำได้แค่นี้ก็ถือว่าสุดยอดแล้ว และสามารถทำให้ฝันเป็นจริงได้แล้ว เพราะอย่างน้อยก็ได้เป็นศิลปิน ได้ออกงาน มีซิงเกิลเป็นของตัวเอง มีคนรู้จักก็ดีใจมากแล้ว ถ้าผู้ใหญ่ให้โอกาสก็อยากที่จะเป็นนักร้องต่อไป และอยากเล่นละครเวที ซึ่งเป็นสิ่งที่ใฝ่ฝันอีกอย่างหนึ่ง เพราะชื่นชอบละครเวทีมาก จึงอย่างเล่นเองบ้างถ้าผู้ใหญ่โอกาสพร้อม ขณะนี้เซ็นสัญญาเป็นศิลปินฝึกหัดกับทางเอ็กแซ็กท์แล้วเป็นเวลา 1 ปี

แรงบันดาลใจที่ทำให้ชอบการร้องเพลง

คนที่ผลักดัน และเป็นแรงบันดาลใจในการร้องเพลงนั้นมาจากคุณแม่ ที่สนับสนุนเพราะแม่สังเกตเห็นว่าชอบร้องเพลงมาตั้งแต่อายุประมาณ 2 ขวบ โดยช่วงนั้นแม่เห็นเราเอาด้ามจอบ มาทำเป็นไมค์เพื่อร้องเพลง และตั้งจำความได้ก็รู้สึกว่าเราชอบร้องเพลง ชอบการแสดง คุณแม่ก็เลยให้การสนับสนุนเรื่องของการร้องเพลงมาโดยตลอด ซึ่งฝึกร้องเพลงมาประมาณ 10 ปี โดยเรียนกับครูบ้าง ฝึกเองบ้าง แต่มาเรียนร้องเพลงอย่างจริงจัง ที่สยามกลการ ที่ห้างบิ๊กซี จ.ภูเก็ต ประมาณ 3 ปีที่แล้ว

ฝึกฝนร้องเพลงอย่างไร

มีการฝึกมาอย่างต่อเนื่อง เน้นการฝึกเหมือนการฝึกร้องเพลงทั่วไป จะต้องฟังเพลงมากๆ ทุกแนว ทุกสไตล์ ส่วนการฝึกเสียงจะฝึกตามที่ครูสอน ฝึกร้องโดยให้เสียงออกมาจากปอด จึงจำเป็นที่จะต้องออกกำลังกายเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง ส่วนเรื่องของอาหารก็เป็นเรื่องสำคัญจะต้องมีการควบคุมและดูแล เพราะการออกกำลังกาย และเรื่องอาหารเป็นส่วนสำคัญในการที่จะทำให้เสียงร้องออกมาใส และมีพลัง สำหรับเวลาส่วนใหญ่จะไปเน้นหนักในการฝึกร้องเพลง ซึ่งในแต่ละวันฝึกร้องเพลงประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถ้าเป็นวันธรรมดาที่ต้องไปเรียนหนังสือ และช่วยคุณแม่ทำงานเสร็จแล้ว เวลาที่เหลือต้อนเย็นก็จะฝึกร้องเพลง ฟังเพลง ส่วนวันหยุดหลังจากเลิกเรียนร้องเพลงก็จะกลับมาฝึกต่อที่บ้าน และจะอยู่กับการร้องเพลง ฟังเพลง ชีวิตจะอยู่กับเสียงเพลงตลอดเวลา

ก่อนประกวดเวทีเดอะสตาร์เคยประกวดที่ไหนมาบ้าง

เคยประกวดเวทีเดอะวอยซ์ ซีซันแรก รอบเดียวกับน้องนนท์ การประกวดในครั้งนี้เข้ารอบเช่นเดียวกันโดยอยู่ในทีมของโค้ชก้อง ซึ่งทีมเดียวกับน้องนนท์ และสามารถฝันฝ่าไปจนถึง 4 คนสุดท้ายในทีม นอกจากนั้น ยังประกวดเวทียามาฮาไทยแลนด์มิวสิกเฟสติวัล 2013 ซึ่งในการประกวดครั้งนั้นได้รับรางวัลถ้วยพระราชทาน

แบ่งเวลาระหว่างเรียนกับการทำกิจกรรมอย่างไรบ้าง

จริงๆ แล้วระหว่างที่เรียนหนังสือก็จะเป็นเด็กที่ทำกิจกรรมมาโดยตลอด เป็นคนที่เวลาเรียนจะตั้งใจ และจริงจังกับการเรียนมาโดยตลอด เวลาทำกิจกรรมก็จะทำเต็มที่ ไม่เครียด และทำตั้ง 2 ส่วนเต็มที่ และให้ดีที่สุด และจะพยายามประคองการเรียนไม่ให้เสีย เวลาเรียนเสร็จถึงจะมาทำกิจกรรม พยายามไม่ให้รับงานซ้อน หรือถ้างานซ้อนกันก็จะต้องตามจากเพื่อนว่ามีเรียน หรือการบ้านอะไรบ้าง หลังจากนั้นเราก็จะต้องกลับมาทบทวนการเรียน และที่สำคัญเราจะต้องอ่านหนังสือมากกว่าคนอื่น อย่างวิชาคณิต หรือวิชาที่คิดวิเคราะห์ก็จะต้องมีการฝึกทำ และทำแบบฝึกหัดตลอด ส่วนวิชาที่ต้องใช้ความจำก็จะอ่านแต่การอ่านจะต้องไม่เครียด บางครั้งอ่านไปกินไป ผลการเรียนได้ 3 กว่าตลอด เลือกเรียน ศิลป์-ฝรั่งเศส

และที่ผ่านม าครูหลายคนไม่ค่อยเข้าใจ ว่าทำไมเราจะต้องไปทำกิจกรรมตลอด ติดกิจกรรมเยอะเกินไป จึงพยายามที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าถึงแม้จะเป็นเด็กกิจกรรมแต่ผลการเรียนก็ไม่ตกต่ำ และอยู่ในระดับที่น่าพอใจ และดีกว่าเด็กบางคนที่ไม่ทำกิจกรรมเลย สำหรับกิจกรรมที่ทำมีหลายอย่าง ตั้งเป็นแกนนำของโรงเรียน เป็นนักร้องของโรงเรียน เป็นตัวแทนทู บี นัมเบอร์วัน เป็นหัวหน้าห้อง เป็นผู้นำเยาวชน และเวลาว่างๆ ก็จะชวนเพื่อนไปทำกิจกรรมร้องเพลงเพื่อหารายได้ไปช่วยเหลือคนพิการ เด็กกำพร้า เด็กด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ เช่น การนำสิ่งของไปมอบให้แก่เด็กที่บ้านลุงพิทักษ์ เพราะรู้สึกสงสาร และชอบที่จะช่วยเหลือคนอื่น ซึ่งรู้สึกว่าเด็กเหล่านี้ขาดแคลนในทุกๆ เรื่อง ทั้งเรื่องของใช้ ทุนทรัพย์ และที่สำคัญคือ เรื่องของความรัก จึงอยากที่จะไปเติมเต็มให้แก่เด็กๆ เหล่านั้น ซึ่งตัวเองก็เป็นเหมืองเด็กเหล่านั้น เพราะพ่อแม่เลิกกัน จึงเข้าใจความรู้สึกเหล่านั้นเป็นอย่างดี ว่าเขารู้สึกอย่างไร จึงอยากเข้าไปเติมเต็มให้แก่เขาให้ได้มากที่สุด จึงจัดกิจกรรมขึ้นมา

ได้อะไรจากการประกวดครั้งนี้

การประกวดในครั้งนี้ ได้ประสบการณ์ในชีวิตเยอะมากๆ ทั้งเรื่องของการร้องเพลง การแสดง การเต้น ได้เจอสังคมใหม่ๆ ในวงการบันเทิง ได้เจอกับสื่อมวลชน ได้เรียนรู้ในเรื่องของการวางตัวให้เหมาะสม ได้รู้จักเพื่อนอีก 7 คน ที่มาอยู่ร่วมกันเป็นครอบครัว ซึ่งมีความจริงใจ และรักกันจริงๆ นำประสบการณ์ที่ได้มาใช้ในการวางตัวให้เหมาะสม เพราะตอนนี้คนรู้จักมากขึ้น มีแฟนคลับมากขึ้น เราก็นำประสบการณ์เหล่านี้มาปรับใช้ในการวางตัวให้เหมาะสม รวมไปถึงเรื่องของการคบเพื่อน รวมทั้งเรื่องของการร้องเพลง ก็สามารถที่จะนำมาปรับใช้ได้ทุกอย่างในชีวิตประจำวันของเรา
น้องนัทกับคุณแม่
ความฝันอันสูงสุดต้องการที่จะทำอะไรหลังจากนี้

สิ่งแรก คือ จะต้องสอบเข้าเรียนคณะดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยศิลปากรให้ได้ก่อน เพราะเป็นความใฝ่ฝัน และต้องการที่จะเปิดโรงเรียนสอนร้องเพลง และเป็นครูสอนร้องเพลง ซึ่งเป็นการสานฝันให้แก่ตัวเอง และฝันของแม่ที่ต้องการให้ลูกสาวก้าวเข้ามาอยู่ในจุดนี้ เป็นการขยายธุรกิจอีกอย่างหนึ่ง ที่ผ่านมา พยายามที่จะทำงานเพื่อนเลี้ยงดูตัวเองและแม่มาโดยตลอด แม่เป็นคนขยัน อดทน ตนจึงยึดแบบอย่างของแม่มา ไม่ต้องให้แม่มาคิดมากเรื่องของการหาเงินมาให้ลูกใช้ จึงเลือกที่จะทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเองด้วย ซึ่งนอกจากจะช่วยแม่ ช่วยน้าทำงานแล้ว ช่วงกลางคืนก็ไปร้องเพลงตามร้านอาหารด้วย

ฝากเรื่องของการเตรียมตัวในการเข้าประกวด

สิ่งที่จะต้องเตรียมคือ การเตรียมเรื่องของจิตใจให้พร้อม เราจะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา และที่สำคัญจะต้องทลายกำแพงความอายออกไปให้ได้ เพื่อไปให้ถึงทางปลายฝัน มีเป้าหมายไว้พุ่งชน อย่างไปกลัว อย่างไปอายจะต้องทลายไปให้ได้ เพราะถ้ามัวแต่ปิดกั้นก็ไม่มีใครเห็น และถ้าทำลายไม่ประสบความสำเร็จ หรือฝันไม่เป็นจริงก็อย่าท้อขอให้พยายามทำต่อไป
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น