คอลัมน์ : คนคาบสมุทรมลายู
โดย...จรูญ หยูทอง-แสงอทัย
ไม่มีครั้งไหนที่นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร พูดแล้วจะไม่เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในทางลบตามมา และเมื่อเข้าไปอ่านความคิดเห็นในโซเชียลมีเดียก็จะพบข้อความที่พาดพิงถึงนายกรัฐมนตรีคนนี้อย่างน่าขยะแขยงยิ่ง เช่น
“เอาควายมาเป็นนายก เอาคางคกมาเป็นแกนนำ เอาคนระยำมาเป็นโฆษก เอาตลกมาช่วยเสริม เอาเฉลิมมาเป็นขี้ข้า เอาคนบ้ามาเป็นรัฐมนตรี” หรือ “อองซานซูจีเป็นผู้นำ อองดอกทีถูกชักนำ อองซานซูจีมีจิตวิญญาณประชาธิปไตย อองดอกทีมีจิตวิญญาณประชาธิปตอ (แหล) อองซานซูจีสละชีพเพื่อชาติ ออกงดอกทีสละชาติเพื่อชีพ อองซานซูจีเป็นหน้าเป็นตาของประเทศ อองดอกทีเป็นเวรเป็นกรรมของประเทศ อองซานซูจีพูดทุกอย่างจากใจ อองดอกทีพูดทุกอย่างจากโพย อองซานซูจีเป็นที่รักและศรัทธา อองดอกทีเป็นที่อับอายและขายหน้า” เป็นต้น
ล่าสุด หล่อนออกมาแสดงจุดยืนว่า จะไม่ยอมลาออกจากนายกรัฐมนตรีรักษาการ โดยอ้างว่าอยู่เพื่อรักษากติกา และเคารพกฎหมายรัฐธรรมนูญ ทั้งๆ ที่การอยู่ในตำแหน่งของหล่อนไม่มีค่า ไม่มีความหมายอะไรต่อชาติบ้านเมืองมากไปกว่ามีนายกรัฐมนตรีแต่ในนาม
เพราะนับตั้งแต่ถูกกดดันจากประชาชนกรณีออกร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแบบสุดซอย และการออกมาแถลงไม่ยอมรับอำนาจของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จนนำไปสู่การยุบสภาเมื่อวันที่ ๙ ธันวาคม ๒๕๕๖ หล่อนไม่เคยทำหน้าที่ในฐานะนายกรัฐมนตรีในสถานการณ์ไม่ปกติเลยแม้แต่อย่างเดียว ได้แต่ตะลอนไปไหนมาไหนโดยมีกองกำลังมหาศาลมาคอยดูแลให้ความปลอดภัย
หลายเดือนมาแล้วที่นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรักษาการเหล่านี้ไม่มีทำเนียบให้ทำงาน เพราะเข้าทำเนียบไม่ได้ หลายครั้งหลายคราวไม่มีใครรู้ว่านายกรัฐมนตรีของประเทศนี้ไปอยู่ที่ไหน ทำหน้าที่อะไรให้แก่ชาติบ้านเมือง ตลอดเวลาที่ผ่านมา ประชาชนเข้าร่วมชุมนุมเพื่อขับไล่นายกรัฐมนตรมากมายมหาศาล แต่นายกรัฐมนตรีกลับไม่รู้สึกรู้สาอะไร
ประชาชนผู้บริสุทธิ์ถูกลอบฆ่า และทำร้ายคนแล้วคนเล่า ก็ไม่เห็นว่านายกรัฐมนตรีได้ออกมาแสดงความเสียใจ หรือยืนยันที่จะรับผิดชอบอะไร ชาวนาที่รอเงินค่าจำนำข้าวมากว่าครึ่งปี และออกจกาบ้านมาทวงถามเงินจำนวนดังกล่าว ขณะที่ชาวนานับสิบคนฆ่าตัวตายและตรอมใจตายนับสิบคนแล้ว แต่นายกรัฐมนตรีคนเดียวกับที่เคยนั่งรถอีแต๋นไปหาเสียงกับชาวนา กลับปล่อยให้ตำรวจทุบตีชาวนา และไม่ยอมออกมาพบชาวนาจนถึงวันนี้
นายกรัฐมนตรีคนนี้ไม่เคยคิด และตัดสินใจอะไรด้วยตัวเอง แต่กลับเรียกร้องให้มีการเจรจาทั้งๆ ที่หล่อนเองก็รู้แก่ใจว่าจะเอาอย่างไร ตัดสินใจอย่างไร ต้องถามอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ทุกกรณี
ครั้นฝ่ายนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ออกมาขานรับการเจรจา โดยบอกว่ายินดีจะเจรจา แต่ต้องเจรจาตัวต่อตัว และต้องถ่ายทอดสดทางฟรีทีวีให้ประชาชนทั่วประเทศได้รับรู้ไปพร้อมๆ กัน แต่หล่อนกลับแถว่าหล่อนไม่ใช่นักโต้วาที และเรื่องนี้ต้องให้หลายฝ่ายเข้ามาเกี่ยวข้อง ว่าไปโน่น
ความจริงที่หล่อนไม่กล้ารับข้อเสนอของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เพราะหล่อนไม่มีวุฒิภาวะในการเป็นผู้นำ เพราะทุกอย่างเป็นอำนาจของทักษิณเพียงคนเดียว ตามสโลแกนที่ว่า “ทักษิณคิด เพื่อไทย/รัฐบาลทำ” รัฐบาล หรือผู้นำรัฐบาลแบบนี้มีได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ไม่มีที่ไหนในโลกเคยมี และคงจะไม่มีโอกาสมีอีกแล้วในอนาคต
ไม่น่าเชื่อว่านายกรัฐมนตรีคนนี้จะกล้าออกมายืนยันว่า หล่อนพร้อมจะตายในสนามประชาธิปไตย เหมือนทหารที่ยอมตายในสนามรบ แม้ว่าจะดูว่าเป็นคารมคมคายที่ออกจะเกินสมองของหล่อนไปหน่อย แต่ก็น่าสนใจว่าใครเขียนให้หล่อนพูดเช่นนี้ และหล่อนกินหัวใจหมีดีงูเห่ามาจากไหน จึงกล้าออกมาท้าทายมวลมหาประชาชนที่เคลื่อนไหวกดดันขับไล่หล่อนมาหลายเดือนแล้วเช่นนี้
ไม่แน่ใจว่า “ประชาธิปไตย” ในความเข้าใจของหล่อนจะเหมือน “ประชาธิปไตย” ในความเข้าใจของคนบ้านนอกคนหนึ่ง ที่ออกตามหาความหมายของคำว่าประชาธิปไตยไปจนถึงห้องน้ำรัฐสภา ขณะที่กำลังจับกระเจี๊ยวเพื่อปัสสาวะอยู่ในห้องน้ำรัฐสภา เพื่อจะไปถามสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรว่า “ประชาธิปไตย” คืออะไร ก็เหลือบขึ้นไปเห็นสติกเกอร์ข้อความรณรงค์ของรัฐสภาเกี่ยวกับประชาธิปไตยว่า “ประชาธิปไตยอยู่ในมือท่านแล้ว”
ชายหนุ่มจากบ้านนอกแทบเข่าอ่อนพร้อมอุทานออกมาว่า “ให้ตายเถอะ ประชาธิปไตยหน้าตามันเป็นแบบนี้เอง ก็โง่มาตั้งนานไม่ยักกะรู้ ถ้ารู้งี้กูไม่มารัฐสภาให้เสียเงินเสียเวลาเปล่าหรอก”
ไม่รู้ว่าในความรู้สึกนึกคิดของนายกรัฐมนตรีที่พูดประโยคนี้ออกมา หล่อนจะรู้สึกอย่างไร เข้าใจว่าประชาธิปไตยของหล่อนคืออะไร แต่ประชาชนส่วนใหญ่ก็คงยินดีที่จะให้หล่อนได้ตายในสนามประชาธิปไตยให้สมใจอยาก ส่วนหล่อนจะได้รู้รสชาติของประชาธิปไตยหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
บ้านเมืองเดินทางมาถึงจุดตกต่ำสุดๆ ในทุกด้านแล้วจริงๆ โดยเฉพาะการมีรัฐบาลที่ล้มเหลว นายกรัฐมนตรีที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ทั้งในอาเซียน และทั่วโลก ความมั่นคงของชาติ โดยเฉพาะความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน การใช้กฎหมายโดยขาดความชอบธรรม มีรัฐบาลที่ประชาชนดูหมิ่นดูแคลน เป็นผู้นำที่ห่างเหินปราชญ์ แต่ใกล้ชิดคนถ่อย ไม่เคยมียุคไหนสมัยไหนที่ศาลสถิตยุติธรรมทั้งศาลแพ่ง ศาลอาญา และองค์กรอิสระ จะถูกคุกคามอย่างเถื่อนถ่อยจากอำนาจรัฐ และสมุนบริวารมากเท่าสมัยนี้ และไม่มียุคใดสมัยใดที่ประชาชนผู้ไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลจะถูกไล่ล่าคุกคามเท่ากับยุคนี้สมัยนี้
จึงน่าอัศจรรย์ที่นายกรัฐมนตรีกล้าที่จะยืนยันว่า หล่อนพร้อมจะตายในสนามประชาธิปไตยเยี่ยงทหารที่ตายในสนามรบ ก็ขอภาวนา และอาราธนาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วสากลโลก จงดลบันดาลให้หล่อนได้สมหวังเพื่อความเป็นสิริมงคลของประชาชน และประเทศชาติเทอญ.