ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ย้ำการนิรโทษกรรมจะต้องไม่สร้างวัฒนธรรมการลอยนวลพ้นผิด (Impunity) เรียกร้องให้ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรงต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม และต้องมีการไต่สวนที่เป็นธรรม
นายสมชาย หอมลออ ประธานแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวถึงการออกพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่กำลังเป็นที่จับตาอย่างเคลือบแคลงจากสังคมอยู่ในขณะนี้ว่า การนิรโทษกรรมที่เกิดขึ้นจะต้องนำไปสู่การปรองดองที่แท้จริง และยั่งยืน ไม่ใช่เป็นกฎหมายที่สร้างความขัดแย้ง จะต้องแก้ไขปัญหาหลายอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีต และต้องมีการพิจารณาว่าความผิดแบบไหนควรได้รับการนิรโทษกรรม หรือบางความผิดจะต้องมีการนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข
“การนิรโทษกรรมจะต้องไม่ปล่อยคนผิดลอยนวล ในคดีความผิดอาชญากรรมร้ายแรง เช่น การฆ่าคน หรือการทำร้ายร่างกาย ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายใด ควรจะต้องรับผิด ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม หรือถ้าจะมีการนิรโทษกรรมก็ต้องมีการทำอย่างมีเงื่อนไข”
น.ส.ปริญญา บุญฤทธิ์ฤทัยกุล ผู้อำนวยการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า นับตั้งแต่ปี 2475 เป็นต้นมา ประเทศไทยมีการใช้กฎหมายนิรโทษกรรมมาแล้วทั้งสิ้น 22 ฉบับ ทุกฉบับต่างยกความผิดให้แก่ผู้ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง โดยไม่มีการนำตัวเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม มีเพียง 3 ฉบับเท่านั้น ที่ประชาชน และผู้ชุมนุมได้รับประโยชน์ด้วย นั่นคือ จากเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516, 6 ตุลา 2519 และพฤษภาทมิฬ 2535
หลายประเทศที่ดำเนินการในช่วงเปลี่ยนผ่านจากความขัดแย้ง การนิรโทษกรรมเป็นเพียงหนึ่งในกระบวนการต่างๆ ที่อาจเลือกมาใช้ประกอบเพื่อสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้เกิดขึ้น กระบวนการที่สำคัญเพื่อสร้างความยุติธรรมในช่วงเปลี่ยนผ่านที่จะต้องดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการนำผู้กระทำผิดเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม เพื่อเป็นการป้องกัน และยับยั้งไม่ให้มีการใช้ความรุนแรง และการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อประชาชนอีกในอนาคต โดยแสดงให้เห็นว่าผู้ที่ทำความผิดจะไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือของกฎหมายไปได้ และเป็นอีกหนทางหนึ่งที่จะคืนความยุติธรรมให้แก่เหยื่อด้วย
การสืบค้นหาความจริง การเยียวยาให้เหยื่อ ซึ่งไม่ใช่แค่ตัวเงินเท่านั้น ต้องทำให้ญาติเหยื่อสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้เป็นปกติ และแสดงออกอย่างเป็นทางการว่า รัฐตระหนักรับรู้ถึงความเจ็บปวดสูญเสียที่เหยื่อ และญาติได้รับ การปฏิรูปสถาบัน และองค์กรที่มีส่วนทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชน การไม่ให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการละเมิดสิทธิมนุษยชนกลับมามีอำนาจในการบริหารประเทศต่อไป ซึ่งเป็นบทลงโทษหนึ่งที่เยอรมันตะวันออกได้นำมาใช้ ส่วนการนิรโทษกรรม เป็นทางเลือกสุดท้ายที่จะนำมาใช้ เพราะยังมีข้อถกเถียงกันอยู่มาก และต้องทำอย่างมีเงื่อนไข และไม่เหมารวมให้แก่ทุกฝ่าย
“การนิรโทษกรรมอาจจะเป็นทางเลือกสุดท้าย และต้องทำอย่างมีเงื่อนไขไม่เหมารวม เพราะการนิรโทษกรรมแบบเหมารวมให้แก่ทุกฝ่ายโดยไม่มีเงื่อนไขเป็นสิ่งที่ขัดกับกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิมนุษยชน อีกทั้งยังทำให้คุณค่า และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของเหยื่อลดลงด้วย เพราะรัฐไม่สามารถคืนความยุติธรรมให้แก่พวกเขาได้ การนิรโทษกรรมที่ผ่านมานำไปสู่การสร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิดให้แก่ผู้มีอำนาจทั้งทางการเมือง และกฎหมาย ส่งผลให้ไม่มีการยับยั้งชั่งใจ เพราะเชื่อว่าจะมีกฎหมายมายกโทษ และประชาชนจะลืมเลือนเรื่องราวร้ายๆ ไปในที่สุด”
การจัดการความขัดแย้งในช่วงเปลี่ยนผ่านของประเทศแอฟริกาใต้ได้รับการศึกษาอย่างมาก หลังเหตุการณ์ความขัดแย้งกันเป็นเวลาหลายสิบปี ระหว่างคนผิวสี กับคนผิวขาว ได้มีการจัดตั้งคณะกรรมการเพื่อค้นหาความจริง นิรโทษกรรมผู้กระทำผิดโดยผู้กระทำการละเมิดสิทธิมนุษยชนต้องรับสารภาพ และเขียนคำร้อง เพื่อเป็นการแสดงความร่วมมือในการให้ข้อเท็จจริง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะได้รับการนิรโทษ เพราะจะต้องให้เหมาะสมกับความผิดที่พวกเขาได้กระทำลงไปด้วย รวมทั้งการให้ประชาชนมีส่วนร่วมในกระบวนการอย่างเต็มที่ แสดงให้เห็นว่ากระบวนการต่างๆ เหล่านี้ต้องเดินหน้าควบคู่กันไปเพื่อให้เกิดความปรองดองสมานฉันท์ มิใช่การนิรโทษกรรมแบบเหมารวมโดยไร้เงื่อนไข
“แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล ยืนยันจุดยืนชัดเจนว่า การนิรโทษกรรมนั้นไม่ควรให้แก่ผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนร้ายแรง เพราะถือว่าเป็นการก่ออาชญากรรมซ้ำต่อครอบครัวของเหยื่อ แต่ควรจะมีการปล่อยตัว (นิรโทษกรรม) นักโทษทางความคิด ผู้ซึ่งได้ใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น โดยไม่ได้ก่อให้เกิดความรุนแรง และความเกลียดชัง ซึ่งรวมถึงผู้ต้องขังในคดีความผิดจากมาตรา 112 ด้วย”