xs
xsm
sm
md
lg

ปาหี่ DSI แค่เชือดไก่ให้ลิงดู / ประเสริฐ เฟื่องฟู

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
 
นับจากวันที่สองคู่ขวัญ สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ และ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ บินมาตรวจดูความเรียบร้อย “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยว” (ศปอท.) ที่บริเวณชั้น 1 ท่าอากาศยานภูเก็ต จนกระทั่งถึงวันนี้ นับโดยประมาณก็ตก 3 เดือนกว่าๆ
 
เป็นช่วงคาบลูกคาบดอกที่พระเอก “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ครบวาระต้องพ้นจากตำแหน่ง แต่ด้วยความภักดี และรับใช้รัฐบาลนอมินีมาอย่างทาสผู้ซื่อสัตย์ และเป็นจิ้งจกที่เปลี่ยนสีได้อย่างถาวร เลยได้ต่ออายุให้เป็นพระเอกรับมือกับผู้มีอิทธิพลฝ่ายตรงข้ามกับภาครัฐต่ออีก
 
นี่... เป็นรางวัลของผู้ภักดี และทาสผู้ซื่อสัตย์
 
เพราะฉะนั้น งานที่ต้องสานต่ออีกหลายงาน รวมทั้งที่มาโว “เขียนเสือ ให้วัวกลัว” ไว้ที่ภูเก็ต แต่ผลที่เห็นแค่เชือดไก่ให้ลิงดู แค่จับแท็กซี่ป้ายดำกระจอก ยังไม่มีอะไรเป็นรูปธรรม กับการปล่อยให้พวก DSI กะเลียกะลาดปลายแถว แสดงบารมีเป็นลิงหลอกเจ้า ก่อความวุ่นวายเป็นข่าวได้ตลอด
 
อย่างเช่น ตระเวนยึดตู้เพลงตามคาราโอเกะ ไล่จับสินค้าเถื่อนละเมิดลิขสิทธิ์ จับหัวหน้าคิวแท็กซี่ป้ายดำโนเนม หรือแบรนด์เนมไม่รู้เหมือนกัน ที่ห้างเซ็นทรัลฯ
 
ที่เห็นหนักหนาสาหัส ก็ร่วมกับผู้มีอิทธิพลรุกเข้าข่มขู่ยึดที่ดินชาวบ้านที่เกาะยาว ไปๆ มาๆ ก็แสดงตัวเป็นเสธ.อ. จะเป็น อ.ไอ้ หรือ อ.อี อะไรไม่รู้ อยู่เขต 9 โน่น มารังควานถึงเขต 8 เหล่านี้ ล้วนเป็นคดีพิเศษของ “DSI” ที่ ธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดีสั่งการอยู่ทั้งสิ้นกระมัง?
 
เอาละขอเข้าเรื่อง เท้าความย้อนอดีตเตือนความทรงจำเมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา สองคู่ขวัญทาสผู้ซื่อสัตย์ต่อรัฐบาลปู “สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์” แห่งพรรคปลาไหล และ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” กอดคอกันยกทัพเจ้าหน้าที่กระทรวงท่องเที่ยวฯ เจ้าหน้าที่การท่าฯ กระทรวงคมนาคม รวมทั้งตำรวจน้อยใหญ่ พร้อมกับสารพัดสื่อ ขึ้นเครื่องบินมาหม่ำมื้อเที่ยงกันที่ภัตตาคารหรูในภูเก็ต อิ่มหมีพีมัน จากนั้นก็ช่วยกันตีเกราะเคาะปี๊บให้ป่าแตก
 
แต่เสือสิงห์กระทิงแรดในพื้นที่กลับไม่ตื่นตูมเหมือนกระต่าย ต่างนอนดู “ปาหี่ธาริต DSI” เฉยชิบ
 

 
แล้วสองคู่ขวัญ ย้อนกลับมาอีกรอบ เมื่อช่วงสายวันที่ 9 สิงหาคม 2556 ห่างกันแค่ 2-3 สัปดาห์ พร้อมเจ้าหน้าที่ชุดเดิมเป็นส่วนใหญ่ คราวนี้มาดูที่ทำการ ศอปท. หรือโรงเชือดไก่ที่ตั้งขึ้นบริเวณการท่าอากาศยานภูเก็ต ตามที่เกริ่นไว้ข้างต้น
 
วันนี้ทางฝ่ายเจ้าบ้าน หมายถึงจังหวัดภูเก็ต ไมตรี อินทุสุต เจ้าเมืองไม่มีภารกิจราชการที่เมืองกรุง และไม่ได้ไปราชการเร่ขายทัวร์ต่างประเทศ คงอยู่เฝ้าบ้าน และ พล.ต.ต.โชติ ชวาลวิวัฒน์ ผู้บังคับการตำรวจ ที่ลาจากไปเมื่อสิ้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา และพิเศษสุด กี๋ กานดา หรือ ธันยรัศม์ อัจฉริยะฉาย ส.ว.คนสวยเมืองภูเก็ต น่าจะในฐานะประธาน กมธ.ท่องเที่ยววุฒิสภา ก็ไปร่วมกุลีกุจอต้อนรับ
 
มาคราวนี้ ไม่ธรรมดา “ธาริต” พกโพยมาด้วย เปิดแถลงข่าว อ่านรายชื่อ กลุ่มผู้มีอิทธิพลที่เข้าข่ายจะถูกตรวจสอบว่าเป็น “มาเฟีย” ในภูเก็ต จำนวน 11 ราย พอเห็นรายชื่อ เล่นเอาสื่อบางคนทำเหนียม ไม่กล้าแตะ แต่ก็มีสื่อที่ตรงไปตรงมานำเสนอ กระจายไปทั่วโลกแล้ว 
 
พอรายชื่อโผล่ ไม่ใช่แค่นักข่าว แฟนข่าวทุกวงการถึงกับผงะ ร้องไอ้ย่า เป็นเจ๊กตื่นไฟ เพราะส่วนใหญ่ล้วนเป็นนักธุรกิจผู้ประกอบการที่มีชื่อเสียง รู้จักกันทั้งเกาะ และยังมีสองพ่อลูกชาวป่าตองของแท้ดั้งเดิม ที่ไต่เต้าจากผู้นำท้องถิ่น ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน จนขึ้นมาเป็นนักการเมืองในพื้นที่หลายสมัย และให้ความร่วมมือกับทางราชการดี ในการทำธุรกรรม กิจกรรมต่างๆ
 
โดยเฉพาะกลุ่มสีกากีในท้องถิ่น ขอให้เอ่ยปาก ไม่มีแห้ว
 
ผู้ติดร่างแหผู้มีอิทธิพลบางคน ดิ้นขลุกขลักโวยผ่านสื่อ ทั้งแจ้งความร้องทุกข์ว่า ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรม ไม่เคยมีแท็กซี่ แต่กลายเป็นมาเฟียแท็กซี่ กลายเป็นแพะโดยไม่รู้ตัว แต่บางคนกลับเฉยไม่รู้ร้อนไม่รู้หนาว และก็ไม่สน
 
เป็นอันว่า พอเปิดถ้วย ยกขันให้เห็นดอกเสร็จ “ธาริต” ก็จีบปากจีบคอจ้อต่อว่า ขณะนี้ทาง ศปอท.ได้เริ่มทำงานแล้ว ดังนั้นหากได้รับแจ้งว่าถูกกลุ่ม 11 รายนี้คุกคาม ทางเจ้าหน้าที่ต้องดำเนินการทันที และต้องรายงานผลปฏิบัติการให้กับผู้บังคับบัญชา จากนั้นจะนำเอาข้อมูลเหล่านี้มาบันทึกเป็นสถิติ รายไหนที่ถูกร้องเรียนมากที่สุด ทางศูนย์ก็จะใช้กฎหมายการฟอกเงิน รวมทั้งส่งเรื่องให้ทาง ป.ป.ช. และ ป.ป.ท. เข้าไปจัดการอย่างจริงจัง
 
“อย่างเช่นกรณีที่มีลูกของนักการเมืองท้องถิ่น ไปเซ็นค้ำประกันรถยนต์จำนวนกว่า 200 คัน ก็ต้องเข้าไปตรวจสอบหาข้อมูล ถึงที่มาที่ไป
 

 
ล่าสุด “เปี่ยน กี่สิ้น” อดีตกำนัน ต.ป่าตอง ที่ไต่เต้าจากกำนันมาเล่นการเมืองท้องถิ่น จนเป็นนายกเทศมนตรีหลายยุคหลายสมัย ถูกสื่อถามถึงกรณีเป็น 1 ใน 11 ราย ที่ติดแห “ธาริต” ก็ตอบแบบคนตรงคนจริงชัดถ้อยชัดคำ
 
“ส่วนตัวไม่เคยมีประวัติเรื่องรีดไถ ที่ว่าเป็นมาเฟีย อยากรู้อยากให้ชี้แจงเหมือนกันว่า มาเฟีย คืออะไร เพราะไม่เข้าใจความหมาย ที่พูดว่าผมเป็นมาเฟีย เขายกระดับให้ผมดูมีคุณค่ามากกว่ามั่ง และหากผมเป็นอันธพาลจริงคงไปถึงที่แล้ว ในช่วงที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่ของดีเอสไอมาสอบถาม หรือขอข้อมูลเรื่องต่างๆ ผมก็ให้ความร่วมมือตลอด เพราะถือว่าเป็นองค์กรของรัฐ ส่วนการที่จะไปพบกับทางเจ้าหน้าที่ดีเอสไอหรือไม่นั้น คิดว่าคงไม่ เพราะยังหาความผิดของตัวเองไม่เจอ”
 
แล้วเปี่ยนก็กล่าวอีกว่า สำหรับป่าตองนั้น ตนอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เกิด ทำความเจริญให้กับป่าตองมาก็มาก ชีวิตนี้ไม่เคยหาเงินหาทองในลักษณะที่ถูกกล่าวหา และตระกูลของตนก็ไม่มีเรื่องเช่นนี้ ส่วนว่าเสียใจหรือไม่ที่ถูกกล่าวหา ก็ต้องบอกว่าไม่เสียใจ เพราะไม่ได้ติดใจอะไร แต่อยากฝากกลับไปยังเจ้าหน้าที่ดีเอสไอว่า ในฐานะที่เป็นองค์กรที่มีความสามารถสูง ประชาชนมีความศรัทธาเชื่อมั่น ก่อนที่จะประกาศอะไรออกไปควรจะตรวจสอบให้ชัดเจนก่อน เพราะเมื่อประกาศออกไปแล้วจะก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ที่ถูกกล่าวหา
 
จากคำพูดของเปี่ยนอีกตอนหนึ่งได้ย้ำว่า ตนเป็นนักการเมืองท้องถิ่นมาเกือบตลอดชีวิต หากเป็นคนเหลวไหลต่อการบริหารบ้านเมือง คงไม่สามารถดำรงตำแหน่งผู้บริหารในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าการจัดตั้ง ศปอท.จะเป็นเรื่องที่ดี แต่ถามว่าหน่วยงานที่ทำงานอยู่ในพื้นที่ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฝ่ายปกครอง หรือหน่วยอื่นๆ จะเอาหน้าไปไว้ไหน เพราะการทำงานที่ผ่านมาตั้งแต่เป็นผู้ใหญ่บ้าน กำนัน และนายกฯ ร่วม 40 ปี ก็ทำงานกับหน่วยงานดังกล่าวมาได้ด้วยดี ไม่เคยมีข้อขัดแย้ง ขณะที่ดีเอสไอเพิ่งเกิด และส่วนใหญ่ก็มาจากตำรวจ
 
“ต้นตอปัญหาของภูเก็ตคือ มีคนอพยพมาจากทั่วประเทศ หรือทั่วโลก ที่ผ่านมาได้ส่งเสริมให้ทำกินกันอย่างปกติสุข อย่าสร้างปัญหา ยอมรับว่า มีบ้างที่ไปเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยว หรือฉกชิงวิ่งราว แต่เป็นส่วนน้อย และที่บอกว่ามีการเรียกเก็บค่าหัวคิว 20,000-100,000 บาทนั้น เรื่องนี้ไม่เคยได้ยิน และน่าจะมีการเข้าใจผิดอะไรบางอย่าง ส่วนกรณีลูกชายนั้น เขาก็มีธุรกิจในนามของฟิโซน่ากรุ๊ป และตนสอนลูกมาโดยตลอดให้ทำมาหากินอย่างซื่อสัตย์ จึงอยากให้มีการตรวจสอบให้ดี หรือจะตั้งข้อหาก็ให้ว่ามา จะได้รู้ว่าผิดตรงไหน เพื่อจะได้ชี้แจงและแก้ไข แต่ไม่ใช่แก้ตัว ทั้งนี้ต้องยอมรับว่าในการบริหารบ้านเมืองนั้น คงไม่มีใครทำถูกต้องทั้งหมด แต่สำคัญคือ ยึดหลักความผาสุกของประชาชนเป็นที่ตั้ง”
 
ทั้งหมดนั้น เป็นคำพูดของ “เปี่ยน กี่สิ้น” นายกเทศมนตรีเทศบาลเมืองป่าตอง ที่ดันไปติดแห “ธาริต” ที่สุ่มเหวี่ยงเข้ามาในภูเก็ต ก็ลองพิจารณากันดู
 
คราวนี้มาดูผลงานของด่านตรวจจับแท็กซี่ป้ายดำของ “ศปอท.” ที่เป็นมือเชือดไก่ ผลงานวันแรกประทับใจแบบสุดๆ แค่ 2 ชั่วโมง จับกุมรถแท็กซี่ป้ายดำ หรือรถแท็กซี่ผิดกฎหมายที่มาส่งผู้โดยสารได้กว่า 22 ราย
 
จากนั้นคล้อยหลังได้แค่เดือนเดียว “ไมตรี อินทุสุต” ผู้ว่าฯ ภูเก็ตจ้ออวดสื่อว่า ได้รับรายงานจาก ศปอท.ว่า ผลการปฏิบัติงานในห้วงระหว่างวันที่ 10-29 สิงหาคมที่ผ่านมา ได้มีการตั้งชุดโมบายตรวจการเคลื่อนที่ ตั้งจุดตรวจตามพื้นที่ต่างๆ จำนวน 6 จุด เช่น ท่าอากาศยานภูเก็ต จุดตรวจทุ่งทอง ฯลฯ ปรากฏว่าสามารถจับกุมรถแท็กซี่ป้ายดำได้จำนวน 434 คัน ในข้อหาใช้รถผิดประเภท
 
แสดงว่าเสือของ “ธาริต” เป็นแค่ เสือกระดาษ และโรงเชือด ก็เป็นแค่โรงเชือดไก่ธรรมดาๆ “บ่มิไก๊” 
 
แท็กซี่ป้ายดำ” จึงยังมีเกลื่อนตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วจังหวัด ทั้งยังเป็นการท้าทาย และตบหน้า “ธาริต เพ็งดิษฐ์” เจ้าพ่อดีเอสไอ ผู้มีอำนาจล้นฟ้า ได้อย่างสะใจชนิดที่ว่า
 
“กูไม่กลัวมึง”
 
จับได้จับไป จะเป็นแท็กซี่มาเฟีย หรือของกลุ่มใด ก็ไม่รู้จะเอาอะไรเป็นข้อพิสูจน์ ยังคงมีวิ่งรับส่งผู้โดยสารแบบไม่แคร์ ไม่สน ทั้งๆ ที่ผู้มีอำนาจล้นฟ้าอย่าง “ธาริต” และรัฐมนตรีว่าการท่องเที่ยวฯ ยกทัพเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง และสารพัดสื่อมาประกาศลั่นเกาะ จะกวาดล้างมาเฟียป้ายดำ รวมทั้งผู้มีอิทธิพล และนอมินีต่างชาติ ชนิดเด็ดขาด ให้สิ้นซาก ด้วย 3 มาตรการเฉียบ ทั้งข่มขู่ อั้งยี่ และฟอกเงิน
 
ทั้งยังตอกย้ำว่า เรื่องนี้ดีเอสไอขอเวลา 1 เดือนจะดำเนินการตรวจสอบรายชื่อ 11 รายนี้เป็นเคสตัวอย่างให้เห็น และในส่วนของเจ้าหน้าที่รัฐหากเข้าไปเกี่ยวข้องจะส่งเรื่องให้ อปท.ดำเนินการทันทีเช่นกัน
 

 
แต่,... ขณะนี้งาน ศปอท.ภูเก็ตที่คุยไว้ว่า เป็นศูนย์ที่ตั้งขึ้นเพื่อนำร่องเอาไปใช้เป็นแบบอย่าง เป็นโมเดลในการเปิดศูนย์ที่พัทยา สมุย และที่อื่นๆ ต่อไปนั้น ณ วันนี้ ดูแล้วทางจังหวัดภูเก็ตน่าจะเป็นผู้บริหารจัดการ ล่าสุด “จำเริญ ทิพญพงศ์ธาดา” รองผู้ว่าฯ รับหน้าที่เป็นหัวหอกฟาดงวงฟาดงาต่อไป
 
และเมื่อวันที่ 17 กันยายน 2256 ที่ผ่านมา “จำเริญ” ก็สั่งการในฐานะประธานที่ประชุมสรุปผลงานประจำเดือน และบริหารจัดการ ศปอท.ว่า การดำเนินการกับรถแท็กซี่ป้ายดำนั้น ขอให้ปรับในอัตราที่สูงที่สุดคือ 2,000 บาท พร้อมทั้งให้ดำเนินการตั้งจุดตรวจจับ ปรับ ที่ท่าอากาศยานภูเก็ต และระหว่างทางจากท่าอากาศยานภูเก็ตไปยังจุดต่างๆ อย่างต่อเนื่อง โดยการสนธิกำลังของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งตำรวจ ขนส่ง จังหวัด ทำในลักษณะชุดทำงานโมบาย สามารถเคลื่อนที่ไปตั้งจุดตรวจได้ทั่วทั้งจังหวัด โดยไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้า และต้องทำจนกว่ารถแท็กซี่ป้ายดำทั้ง 2,882 คันเข้าสู่ระบบทั้งหมด
 
นอกจากนั้น จะมีการลงไปทุกพื้นที่ที่มีคิวรถแท็กซี่ป้ายดำตั้งอยู่ เพื่อทำทะเบียนประวัต คิว หัวหน้าคิว ทั้งจะเรียกประชุมผู้นำท้องถิ่นทั้งหมดทำความเข้าใจ เพราะต่อไปนี้การตั้งคิวรถ จะตั้งตามอำเภอใจไม่ได้ การตั้งคิวรถจะต้องผ่านการเห็นชอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจ อำเภอ ท้องถิ่นเท่านั้น และจะมีการประสานกับทางดีเอสไอดำเนินการกับหัวหน้าคิวทุกคิวที่ทำตัวเป็นผู้มีอิทธิพล
 
“เมื่อพูดถึงภูเก็ตแล้ว นึกถึงแท็กซี่ที่แย่ๆ มีมาเฟียเต็มเมืองไปหมด ถ้าเป็นแบบนี้ถามสิว่า ต่อไปใครจะอยากมาเที่ยว เราต้องจัดการปัญหาเหล่านี้ให้หมดไป เพื่อภาพลักษณ์ที่ดีของภูเก็ต”
 
นั่นเป็นวาทะของ “จำเริญ ทิพยพงศ์ธาดา” หลังรับฟังรายงานของ ศปอท.ในวันดังกล่าว ขู่ระเบิดเถิดเทิง
 
ถ้าเป็นอย่างนี้ อย่างที่เห็น แผนการแก้ไขปัญหาเมืองท่องเที่ยวที่มีความสกปรกทั้งในภาครัฐและเอกชน ผู้ประกอบการบางกลุ่มที่เห็นแก่ตัวอย่างร้ายแรง โดยเฉพาะกลุ่มทุนต่างถิ่น และต่างชาติที่เอารัฐเอาเปรียบ กอบโกยเอาแต่ผลประโยชน์กลับไป ทิ้งซากโสโครกเป็นตัวทำลายสิ่งแวดล้อมเอาไว้ให้ท้องถิ่นแก้ปัญหา
 
เมื่อการแก้ปัญหาเป็นแค่การวางรูปแบบ การเขียนเสือให้วัวกลัว เชือดไก่ให้ลิงดู แล้วให้จังหวัดนำไปบริหารจัดการ ล้มเหลวมาครั้งแล้วครั้งเล่า ทำงานกันแบบข้าราชการไทย คึกคักเข้มแข็งไม่นานก็หย่อนยาน พอเกิดเหตุมีปัญหาตูมตามขึ้นมา ก็แก้ผ้าเอาหน้ารอด มันวกกลับมาในวังวนเดิม หรืออีหรอบเดิมนั่นแหละ
 
ในช่วงเวลาสามสี่เดือน ตั้งแต่บรรดาทูตานุทูตประเทศต่างๆ เดินทางเข้ามาดูสภาพความเป็นจริงในจังหวัดภูเก็ต และจี้ให้แก้ปัญหาที่เห็นกันตำตา ผู้ว่าฯ “ไมตรี อินทุสุต” ก็ผลุบๆโผล่ๆ แต่ก็ทำขึงขังเอาจริงเอาจัง ทางด้านรัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ จากพรรคปลาไหล “สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์” ก็ควงแขนเจ้าพ่อ DSI “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ยกโขยงลงมาเล่น “ปาหี่” ให้ชาวโลกได้ฮากัน
 
นี่แหละ งานสนองนโยบายนักการเมืองละ 
 
ในขณะที่อีกหน่วยงานหนึ่งไม่ได้พูดพร่ำทำเพลง จู่ๆ ก็ออกมาเปิดเผยตัว โชว์ผลงานในช่วง 40 กว่าวัน ปฏิบัติการกวาดล้าง สางปัญหาที่เกิดกับนักท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวหลักทั่วประเทศได้เรียบวุฒิ เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2556 ที่ห้องประชุมตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต
 
หน่วยงานนี้น่าจะเป็นเฉพาะกิจของ สตช.และคณะกรรมาธิการท่องเที่ยววุฒิสภา
 
เพราะมี “พล.ต.อ.วุฒิ ลิปตพัลลภ” ที่ปรึกษา (มค.) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นผู้อำนวยการศูนย์เฉพาะกิจจัดระเบียบพื้นที่ท่องเที่ยวสำคัญ และ “พล.ต.อ.พิชิต ควรเดชะคุปต์” ประธานคณะอนุกรรมการศึกษาเรื่องร้องเรียนร้องทุกข์ด้านการท่องเที่ยว และปัญหาด้านความปลอดภัย ภาพลักษณ์และปัญหาของการท่องเที่ยว ในคณะกรรมาธิการการท่องเที่ยววุฒิสภา
 
หลังสรุปผลปฏิบัติการกันที่ภูเก็ต พล.ต.อ.วุฒิบอกว่า คดีที่มีความรุนแรงต่อนักท่องเที่ยวในความรับผิดชอบของตำรวจภูธรในแต่ละพื้นที่ โดยเฉพาะคดีฆ่า ข่มขืน ชิงทรัพย์ และการหลอกลวงขายสินค้าในลักษณะเป็นขบวนการ และซ้ำซากนั้นลดลงอย่างชัดเจน ส่วนของตำรวจท่องเที่ยว ก็ได้มีการแก้ปัญหาไปแล้วในเรื่องของทัวร์ศูนย์เหรียญ อัญมณี และร้านตัดสูท ต่อจากนี้ก็ต้องไปดำเนินการกับกลุ่มผู้ประกอบการทัวร์อย่างจริงจังโดยจะต้องไม่มีทัวร์เถื่อนเกิดขึ้น ส่วนของตรวจคนเข้าเมืองก็จะต้องไปสำรวจสัดส่วนของผู้ที่ขออยู่ต่อ ซึ่งก็จะได้มีการลงมาสุ่มตรวจว่ามีการปล่อยปละละเลยหรือไม่
 
และนับจากเดือนสิงหาคมเป็นต้นมา ในแหล่งท่องเที่ยวหลักยังไม่มีข่าว เกิดคดีอาชญากรรมฆ่า ข่มขืน และชิงทรัพย์นักท่องเที่ยวให้เสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ ซึ่งต้องยกเครดิตให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ทำงานกันอย่างเข้มข้น ส่วนของลักษณะปัญหาที่เกิดซ้ำซาก กับนักท่องเที่ยว เช่น มอมยา หลอกลวงนักท่องเที่ยวของร้านอัญมณี ร้านตัดสูท เป็นต้น ก็หายไป
 
แล้วยังท้าทายด้วยว่า เพื่อยืนยันไม่ได้พูดไปเอง ก็ได้ให้ทางมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชมาทำการประเมินผล ปรากฏว่านักท่องเที่ยวทั้งชาวไทย และต่างประเทศเชื่อมั่นมาตรการรักษาความปลอดภัยของสำนักงานตำรวจแห่งชาติสูงเกือบ 80% ในทุกมิติ รวมทั้งจากตัวชี้วัดมาตรฐานกลางที่ใช้กันทั่วโลก คือ นักท่องเที่ยว 100,000 คนจะมีคดีได้ไม่เกิน 20 คดี แต่ของเราตรวจสอบได้ไม่ถึง 5 คดี ในทุกพื้นที่เป้าหมาย
 
หลังจากนี้ทุกหน่วยก็จะกลับเข้าไปดำเนินงานตามภารกิจปกติ แต่หากมีปัญหาเกิดขึ้นอีกก็จะมีการระดมกำลังดำเนินการใหม่
 
เป็นอันว่า เฉพาะกิจชุดนี้ หลังเสร็จภารกิจ ต่างฝ่ายต่างกลับกรมกอง ไม่มีการฝังตัวทำมาหารับประธานกับกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด อย่างบางหน่วยงานที่อำนาจล้นฟ้า
 
อย่างที่เห็นกันนั่นแหละ แล้วคอยดูหน้าไฮที่จะถึงนี้ ที่คุยกันว่านักท่องเที่ยวจะเดินทางเข้ามาประเทศไทย โดยเฉพาะภูเก็ต พัทยา สมุย ชนิดยัดทะนาน ประมาณว่า เกือบล้นเกาะว่างั้นเถอะ จะมีข่าวจากปัญหาเดิมๆ ให้พาดหัวในหน้าหนังสือพิมพ์ ทีวี และในอินเทอร์เน็ตกันหรือไม่ ทั้งเรื่องแท็กซี่เอาเปรียบ แจ็ตสกีข่มขู่ หลอกลวง ต้มตุ๋น สารพัด
 
นักข่าวและบรรดาสื่อทั้งหลายได้นั่งตบยุงกันละเว้ยอีคราวนี้ ต้องวิ่งหาข่าวกันหัวหกก้นขวิดละ คงไม่มีข่าวมาประเคนถึงหน้าสำนักงาน นอกจากข่าวม็อบสารพัดม็อบจากเกษตรกรที่พืชผลราคาตกต่ำ ค่าครองชีพที่สูงเกิน เดือดร้อนกันทั้งประเทศ
 
ที่นักการเมืองผู้ทรงเกียรติพูดเต็มปากเต็มคำว่า “ข้าวของไม่ได้แพง คิดกันไปเอง”
 
และข่าวพาดหัวประจำวัน ก็คงจะเป็นข่าวปล้นจี้ธนาคาร ร้านทอง ร้านสะดวกซื้อ รวมทั้งข่าวขนยาเสพติด ที่จับได้จับไป กับข่าวฆ่าครู ตำรวจ ทหารประชาชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ก็คงไม่ได้เกี่ยวกับนักท่องเที่ยว.
 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น