คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
การเดินทางลงพื้นที่จังหวัดภูเก็ต เมื่อวันที่ 25 กรกฎาตม 2556 ปลายเดือนที่ผ่านมาของ “สมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและการกีฬา และ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ กับคณะ ได้หิ้วเอาสื่อจากกรุงเทพฯ ทุกชนิดติดมาด้วยเป็นกองทัพ มีรถตามขบวนร่วม 20 คัน โกลาหลไปทั้งเมือง ทั้งฝ่ายเจ้าบ้าน และแขกผู้มาเยือน
เป้าหมายอยู่ที่มาเฟียแท็กซี่ป้ายดำ และนอมินีต่างชาติ
ครับ,... เป็นการสร้างขวัญให้กำลังใจแก่ผู้ประกอบการที่สุจริต และไม่ได้รับความเป็นธรรมอย่างดี ส่วนฝ่ายผู้มีอิทธิพล ทั้งมาเฟียแท็กซี่ป้ายดำ และนอมินีต่างชาติก็ร้อนๆ หนาวๆ พอสมควร
พฤติกรรมการเดินทางลงพื้นที่ โดยหิ้วสื่อทุกประเภทขึ้นเครื่องบินฟรี กินมื้อเที่ยงในภัตตาคารจีนหรูอันดับหนึ่งในภูเก็ต ที่คนธรรมดาเดินดินกินข้าวแกงไม่มีโอกาสได้ชิมรสชาติ ภารกิจก็แค่ประชุมร่วมกับเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ ฟังรายงานที่ท่าอากาศยาน กับศาลากลางจังหวัด แล้วก็ยกขบวนรถตู้ รถตรวจการณ์กว่า 10 คัน มีรถนำขบวน และปิดท้ายไปดูผักชีโรยหน้า บริเวณสวนสาธารณะลานโลมา หาดป่าตอง ที่ทางพื้นที่เคลียร์ไว้ต้อนรับล่วงหน้ามาเป็นวัน
เดินยืดเส้นยืดสาย สูดโอโซนหาดป่าตอง เป็นการย่อยอาหารมื้อเที่ยง แล้วก็ทยอยกันให้สัมภาษณ์สื่อที่กุลีกุจอยื่นหัวไมค์เข้าไปจ่อปาก ต่างก็จ้อน้ำไหลไฟดับรดใส่หัวไมค์ ชนิด “น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง” นักข่าวเอาคำถามรอบเช้าที่สนามบิน มายัดปากหลังอาหารเที่ยงอีกรอบ ก็เลยกลายเป็นคนละเรื่องคนละราว ช่างมันเถอะ เวลาหมุนเร็ว แค่ชั่วโมงสองชั่วโมงสถานการณ์อาจเปลี่ยนแปลงได้ เอาเป็นว่า การเดินทางลงพื้นที่หนนี้ก็เพื่อ
สร้างภาพลักษณ์ใหม่ ดับกลิ่นเหม็นเน่าของภูเก็ตที่หึ่งไปทั้งโลก
ที่ท่านทูตสารพัดประเทศ อย่างน้อยก็ร่วม 20 ประเทศ ทนความรำคาญที่นักท่องเที่ยวบ้านเขาเมืองเขาพร่ำบ่น จนต้องลงไปสัมผัสหาข้อเท็จจริงด้วยตนเอง และต้องสะอึก สำลักความกับความ “น่า” และ “อัปลักษณ์” ของเมืองภูเก็ต
ปัญหารถบริการรับจ้าง รับ-ส่งผู้โดยสารจากท่าอากาศยานไปยังแหล่งท่องเที่ยว เข้าตัวเมือง หรือที่พักอาศัย เป็นปัญหาที่ไม่รู้จบมานานแสนนาน รถบริการกลุ่มนี้มีสารพัดป้าย ทั้งป้ายดำ ป้ายเขียว ป้ายเหลือง หรือแท็กซี่ ดูผิวเผินยังกับว่า ถ้าใครมีรถยนต์ขับ ต่างก็หากินกันได้อย่างอิสรเสรี แบบประชาธิปไตย
รวมทั้งการเรียกเก็บค่าโดยสาร ที่ต่อรองกันแล้ว ก็ยังโคตรแพง
ปัญหานี้ ขอรวมเอารถจักรยานยนต์รับจ้างตามตรอก ซอกซอย ในกรุงเทพฯ และภูมิภาคทุกอำเภอ ทุกจังหวัด ไม่เฉพาะที่ภูเก็ตที่เรียกเก็บค่าโดยสารตามใจฉัน แต่ที่ภูเก็ตมันมหาโหด หากแปลกหน้าหลงมาเป็นโดนเชือดเลือดซิบๆ ที่เทวดาก็ช่วยไม่ได้
จากศูนย์บริการอิซูซุ หน้าโรงเรียนภูเก็ตวิทยาลัย ถึง กศน.หมู่บ้านดำรง หลังศาลากลางนี้เอง 80 บาท ต่อรองไม่ได้ จัญไรมั้ย ไม่ไปเดินเอา
สมัยก่อน กว่า 40 ปีที่ผ่านมา ขณะทำข่าวอยู่กรงเทพฯ เคยคุยกับแท็กซี่ที่รับ-ส่งผู้โดยสารย่านสนามบินดอนเมือง ตอนนั้นยังไม่คึกคักเหมือนวันนี้ ได้จ้อให้ฟัง ไม่ว่าจะลิมูซีน หรือรถบริการรับจ้างทุกสีป้าย ตั้งแต่เขียว เหลือง (มิเตอร์) หรือดำ (ผิดกฎหมาย) ล้วนมีมาเฟียคุม เก็บหัวคิว โดยเฉพาะมาเฟียในเครื่องแบบ
ค่าโดยสารที่แพง ก็ต้องเรียกเผื่อมาเฟียกลุ่มนี้ด้วย ไม่งั้นก็ไม่ต้องหากิน
รถลิมูซีน รถหรูสำหรับเช่า กลายมาเป็นรถบริการรับ-ส่งผู้โดยสารที่สนามบิน ให้การท่าอากาศยานฯ เขมือบเป็นกอบเป็นกำด้วยการประมูลถูกต้องตามกฎหมายไปเรียบร้อย นอกจากรายเดือนแล้ว ก็ยังต้องเสียค่าหัวคิวอีกต่างหาก ส่วนแท็กซี่ทั้งป้ายเหลือง ป้ายดำ ก็มีมาเฟียในเครื่องแบบคุมอีก ทั้งตำรวจท้องที่ และ สห.ทอ.ระดับบิ๊ก ต่างฝ่ายต่างเขมือบ
ไม่มีใครกล้าแตะ กล้าโวยยุคนั้นเผด็จการทหารครองเมือง
นั่นเป็นช่วงที่ผมได้สัมผัส ตั้งแต่หนองงูเห่ายังเป็นหนองน้ำเจิ่งในหน้าฝน เข้าหน้าแล้งชาวบ้านได้วิดปลาตกคลักมีสารพัดปลาสดๆ เป็นๆ จากหนองน้ำขอด ทั้งสลิด และดุกอุยตัวงามๆ เนื้อเหลืองอ๋อย ไอ้ช่อนอวบๆ ขนาดกิโลให้เลือกซื้อจากชาวบ้านแถวนั้น
เมื่อหนองงูเห่ากลายเป็นสุวรรณภูมิ ก็บังคับย้าย หรือไล่ทุกสายการบินออกจากดอนเมืองไปอยู่สุวรรณภูมิ บรรดาเจ้าหน้าที่สายการบินหลากหลายต่างอาลัยอาวรณ์ ทำพิธีร่ำลาดอนเมือง ส่วนเรื่องแท็กซี่สุวรรณภูมิตามข่าวว่า มีการจัดระเบียบอย่างถูกต้อง แค่ไหน ใครเป็นแม่งาน ผมไม่รู้ ตั้งแต่นั้นมาดอนเมืองก็ร้าง
สุดท้ายก็ย้ายสายการบินภายในประเทศ หรือโลว์คอสต์แอร์ไลน์ สายการบินราคาประหยัดกลับมาที่ดอนเมืองอีกครั้ง หลังเกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ หนนี้มาเฟียแท็กซี่ดอนเมืองจะคืนชีพ อู้ฟู่เหมือนเดิม หรือไม่..... ไม่ทราบ
นั่น,... ที่ดอนเมือง กรุงเทพฯ
ว่ากันที่สนามบินภูเก็ต หรือท่าอากาศยานนานาชาติต่างๆ ในภูมิภาค ท่ารถสถานีขนส่ง บขส.หรือตามแหล่งท่องเที่ยวทั่วไทยนั่นแหละ ลึกๆ แล้ว ล้วนมีมาเฟียคุม มีแกนนำจัดตั้งคิวรถรับจ้างทุกชนิด รวมรถจักรยานยนต์ด้วย
ก่อนหน้าจะมีการจัดระเบียบ แก้สารพัดปัญหาของรถรับจ้าง หรือรถรับส่งนักท่องเที่ยว ทั้งรถทัวร์ รถตู้ รวมทั้งที่เป็นรถของโรงแรม รถของบริษัททัวร์ หรือรถตู้ที่หากินอิสระ เกิดขึ้นเป็นจำนวนมากในช่วงที่ท่องเที่ยวบูมใหม่ๆ รถเหล่านั้นเป็นรถป้ายดำผิดกฎหมาย แต่สามารถวิ่งได้โดยจ่ายส่วยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ หรือขนส่งที่ตั้งด่านตรวจจับ
ภายหลังรถป้ายเหลือง 30 หรือรถรับจ้างไม่ประจำทางที่ถูกกฎหมายก็ออกมาโวย ไอ้รถตู้ รถแท็กซี่ป้ายดำผิดกฎหมายแย่งผู้โดยสาร แย่งอาชีพ ส่วนรถผิดกฎหมายก็ออกมาร้องขอความเป็นธรรม ส่วยก็จ่าย แล้วยังถูกจับ
ที่ถูกกฎหมายโวย ที่ผิดกฎหมายร้อง
ฝ่ายผิดกฎหมายโอดกาเหว่า ทำโดยสุจริต หากินเลี้ยงปากเลี้ยงท้องเลี้ยงครอบครัว อยากทำให้ถูกกฎหมาย แต่ทำไม่ได้ เพราะถูกจำกัดสิทธิ จำกัดโควตา คุมจำนวนรถ ตามกฎกติกาของขนส่งทางบก
หนักเข้าทางกรมการขนส่งก็ต้องพิจารณาแก้ปัญหาด้วยการเพิ่มโควตารถป้าย 30 โดยอยู่ภายใต้การพิจารณาของคณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกจังหวัด ที่มีผู้ว่าฯ เป็นประธาน พิจารณาตามความเหมาะสมกับความต้องการของพื้นที่
ในที่สุด รถตู้เถื่อนผิดกฎหมายเหล่านั้น ก็ถูกต้อนเข้าคอกตามระเบียบของกรมการขนส่งทางบกคือ ให้ไปหาสังกัดจะเป็นโรงแรม หรือบริษัททัวร์ รวมทั้งต้องระบุที่จอดเก็บรถกว้างขวางพอ ถ่ายรูปไปแสดง
ทั้งนี้ และทั้งนั้น ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องเสียค้ากินเปล่า ค่าคิวกันตามระเบียบให้บรรดาเสือนอนกินอีก เพื่อเอา “ปลอกคอ” หรือโลโก้ไปแสดงต่อทางขนส่งฯ ขอทะเบียนป้ายเหลือง 30
คราวนี้นอกจากรถตู้แล้ว ยังมีรถตุ๊กตุ๊กตามแหล่งท่องเที่ยวพ่วงเข้ามาอีก โดยเฉพาะที่หากินอยู่ย่านป่าตอง กะตะ กะรน มีเหยียบร้อย หรือเกินร้อยละมั้ง คาดคะเนด้วยสายตาคร่าวๆ โดยประมาณ
รถตู้ กับรถตุ๊กตุ๊กป่าตอง ถูกจับใส่กระด้ง จัดระเบียบแจกป้าย 30 ยกชุด
ในระหว่างปี 2541-2545 ไม่ว่าจะเป็น ททท. หรือทางจังหวัดเอง รวมไปถึงสถานทูต ต่างได้รับการร้องเรียนเรื่องการข่มขู่เรียกเก็บค่าโดยสารแพงเกินจริง รวมทั้งการหลอกลวงนักท่องเที่ยว เอาไปปล่อยกลางทาง ลวนลามนักท่องเที่ยวสาว มีการนำไปเปิดเผยเป็นข่าวในสื่อต่างประเทศบ่อยครั้ง และมีการวิจารณ์กล่าวตำหนิในกลุ่มแท็กซี่ที่ทำมาหากินโดยสุจริต แต่ไม่กล้ายืนยันชี้ตัว เพราะกลัวอิทธิพล
ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของภูเก็ตรุ่งริ่ง ยู่ยี่หมด ททท.มีหน้าที่ตามแก้ ตามล้างตามเช็ด แล้วก็สร้างภาพร่วมกับผู้ประกอบการ อย่างอื่นไม่มีอำนาจ ได้แค่ดู แล้วก็ปลงสังเวชกับอนาคตของการท่องเที่ยว ตั้งแต่ก่อนหน้านั้นมาจนถึงวันนี้
ในที่สุด คณะกรรมการควบคุมการขนส่งทางบกจังหวัดภูเก็ต ในยุค “อุดมศักดิ์ อัศวรางกูล” เป็นผู้ว่าฯ ได้แก้ปัญหาด้วยการอนุมัติให้เกิดรถแท็กซี่มิเตอร์ขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยให้จัดในรูปของบริษัทฯ ทำประวัติของโชเฟอร์ ให้มีมาตรฐาน ถ้ามีปัญหาสามารถตรวจสอบได้ แม้กระทั่งการแต่งกาย ต้องเรียบร้อย เสื้อเชิ้ตสีขาวจุกในกางเกงสีน้ำเงิน
แต่มาภายหลังก็เปิดเสรี ให้โอกาสนิติบุคคลสามารถจดทะเบียนได้ด้วย
ทุกอย่างก็ยังไม่จบ กลับมีปัญหาการเข้าไปรับผู้โดยสารอีก ถูกรถป้ายเขียวกลุ่มเก่าที่ขึ้นกับการท่าอากาศยาน ซึ่งเปิดบูทตั้งเคาน์เตอร์อยู่ในอาคารของการท่าฯ กีดกัน แม้กระทั่งสถานที่จอดรถรับส่งผู้โดยสารในบริเวณสนามบิน
ประชุมกันแล้ว เจรจากันอีกหลายต่อหลายรอบ มีทั้งการท่าฯ ขนส่ง ตำรวจ และจังหวัด รวมทั้งตัวแทนแท็กซี่ทุกกลุ่ม เพื่อหาทางออก และเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย สุดท้ายก็เออออลงเอยกันได้
แบบไม่เต็มใจ
เพราะผลประโยชน์ถูกแชร์ บนโต๊ะมองหน้ากันกัดฟันยิ้ม ส่วนใต้โต๊ะเตะหน้าแข้งกัน ก็เหมือนคลื่นใต้น้ำ ข้างบนดูสงบ แต่ลึกลงไปยังเชี่ยวกราก ท่องเที่ยวก็ยังโตต่อเนื่อง ต่างดึงพรรคพวกที่มีรถเข้ามาแทรกแซง แย่งผู้โดยสารกันอีก ก็เข้าอีหรอบเดิม แท็กซี่ป้ายดำก็แตกกอแตกหน่อ ตามการเติบโตของการท่องเที่ยว
และแล้วแท็กซี่ป้ายดำที่เกิดใหม่ล่าสุด ก็ได้รับการจัดระเบียบ แปลงร่างเปลี่ยนสีให้ถูกต้องตามกฎหมายอีกชุด คือ “กลุ่มแท็กซี่สหกรณ์บริการและท่องเที่ยวมุกอันดามัน” ที่ทยอยรับป้ายเขียวไปแล้ว และที่กำลังรอการปรับปรุงรถ เคลียร์กับไฟแน้นซ์ และรอรถคันใหม่อยู่อีกหลายราย
ใช่ว่าจะจบ ยังมีบางรายที่ไม่สามารถปรับตัวได้ตามมาตรฐานของกรมการขนส่ง อย่างเช่น ติดไฟแนนซ์ ไม่สามารถจะเคลียร์ได้ และขนาดเครื่องยนต์ไม่ถึง รถเก่าเกิน 10 ปี หรืออื่นๆ กลุ่มนี้ก็ยังต้องวิ่งด้วยป้ายดำเถื่อนต่อไป โดยอาศัยเก็บเศษของเหลือตกหล่นเป็นครั้งคราว โดยกลุ่มเก่าจัดให้วันละเที่ยวสองเที่ยว แต่ต้องจ่ายพิเศษนะ
ก่อนหน้าที่บรรดาเสือกระดาษจะแห่ลงพื้นที่แค่เดือนเศษๆ กลุ่มใหม่ที่เพิ่งจัดระเบียบ ไม่สามารถต่อท้ายคิวกลุ่มเก่าเข้ารับผู้โดยสารได้ตามข้อตกลงเข้าร้องเรียนผู้ว่าฯ อีก
สรุปปัญหามันไม่มีวันจบ ถ้ายังมีหัวโจก หัวหน้ากลุ่ม แล้วไอ้หัวสองหัวนี้ใช่ไหมที่ว่าเรียกกันว่า
“มาเฟีย”
ที่ป่าตองก็เช่นเดียวกัน ป้ายดำ ป้ายเขียวไม่มี“คิว”ชัดเจน แต่ยึดพื้นที่ ล็อกที่จอดริมถนนเป็นของตัวเอง ด้านตุ๊กตุ๊กแดงป้าย 30 นั้นชัดเจน ยึดพื้นที่จอดริมถนนเต็มพรืด แดงไปทั้งแถบ รถชาวบ้าน รถนักท่องเที่ยวไม่ต้องจอด เช่นเดียวกับฝั่งถนนริมหาดพื้นที่รถเช่าทั้งรถยนต์ รถมอเตอร์ไซค์นับหมื่นคัน
พื้นที่ของข้าฯ ใครอย่าแตะ ไม่เชื่อลองไปจอดดู ถ้าไม่มีแผล รอยขูดขีด หรือยางแฟบ ก็ไม่ใช่ป่าตอง อันนี้พิสูจน์ได้ เห็นทันตา นักท่องเที่ยวสาวจีนเพิ่งเจอไปหมาดๆ หลัง รัฐมนตรีท่องเที่ยว และอธิบดีดีเอสไอ กลับไปได้แค่ 2 วันอย่างนี้….
มาเฟียมั้ย
แต่ก่อนตุ๊กตุ๊กแดงป้าย 30 ป่าตองว่าแสบ ข้าฯ ยิ่งใหญ่ ขนาดปิดทางเข้าออกท่าเรือน้ำลึก ไม่ให้รถบัสเข้าไปรับนักท่องเที่ยว ทหารอเมริกันที่พักรบ แวะมาพักผ่อนที่ภูเก็ตโดยเรือรบ ที่ไม่ยอมใช้บริการเพราะราคามหาโหด และอีกหลายต่อหลายเรื่องในทางนักเลง
แต่เหนือฟ้ายังมีฟ้า เมื่อ 2 เดือนที่ผ่านมา ถูกรถกระบะดัดแปลงเป็นสองแถว ออกตระเวนเร่รับผู้โดยสาร ทั้งประชาชนทั่วไป และนักท่องเที่ยว เหมือนถูกเหยียบตาปลา วิ่งโร่ไปร้องผู้ว่าฯ ขอให้ช่วยดำเนินการเข้มในกฎหมาย ทั้งๆ ที่ค่าโดยสารของตัวเองเรียกเก็บก็สุดโหด ไม่เป็นไปตามที่ประกาศ และข้อตกลงที่ทำกัน
ข้างกระบะป้ายดำ ก็แจ้นเข้าพบผู้ว่าฯ เหมือนกัน ถ้าจับแล้วจะให้ไปทำอะไรกิน ขอให้ช่วยด้วย ก็ทำนองเดียวกับที่สนามบินอีกนั่นแหละ
ทุกกลุ่มล้วนมีหัวโจก มีผู้คุมคิว ใครคือไอ้โม่งตัวการที่แท้จริง ที่สร้างความวุ่นวาย ป่วนนักท่องเที่ยวจนดังไปทั้งโลก “ธาริต เพ็งดิษฐ์” บอกสื่อชัดเจน นักการเมืองท้องถิ่น หรือผู้นำท้องถิ่นต้องมีส่วนเกี่ยวข้อง พูดง่ายๆ คือ หนุนหลังนั่นเอง แล้วใครล่ะ
ประชาชนทั่วทั่งแผ่นดินที่อยู่ในภูเก็ต ในประเทศไทย และนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ที่ได้รับการบริการสุดแสบ รวมทั้งทูตานุทูต และเจ้าหน้าที่ทูต ที่เดินทางมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง ล้วนอยากรู้ และอยากเห็นโฉมหน้า
ส่วนเรื่องนอมินีต่างชาติในภูเก็ต ยังไม่รวมเกาะสมุย เกาะพงัน สุราษฎร์ธานี จังหวัดทางภาคตะวันออกอีกหลายเกาะ “นรก” พวกนี้ถ้ามาแล้ว มันไม่มาฝังตัวอยู่ที่ภูเก็ต แห่งเดียวแน่ แต่กระจายไปทั่วทั้งประเทศนั่นแหละ
ในภูเก็ตนั้นหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้องกับการจดทะเบียนการค้า ก็ออกมายอมรับแล้วว่ามีจริง บริษัทอสังหาริมทรัพย์ บริษัททัวร์ สปา ภัตตาคาร และอีกสารพัด ล้วนมีต่างชาติถือหุ้นทั้งสิ้น หุ้นมากหุ้นน้อย หุ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ก็น่าจะมี แต่ฝากไว้ในชื่อของคนไทยที่เป็นทาสมัน
และที่สำคัญไปแฝงตัวอยู่ในสำนักงานกฎหมายเสียด้วย.... แสบมั้ย
ขณะนี้ไม่ว่าจะเป็นที่ดิน โรงแรม รีสอร์ต บ้านหรู และอีกหลายธุรกิจในภูเก็ต 90% ถูกนอมินีถือครองให้ต่างชาติทั้งสิ้น ด้วยนโยบายการชักชวนต่างชาติเข้ามาลงทุน ที่หิ้วกระเป๋าเข้ามาอย่างเปิดเผยลงทุนในอุตสาหกรรมหนักนั้นก็น่าจะให้โอกาส แต่ไอ้ชนิดที่เข้ามายึดครองแผ่นดินเกิดของคนไทยแล้วกอบโกยเอาไปชนิด 100% นี่สิ เจ็บปวด
สมควรมั้ย ลองคิดกันดู เพราะรัฐบาลคิดอย่างเดียวเอาประเทศไปเร่ขาย ไม่รู้จะเรียกรัฐบาลกะหรี่ หรือรัฐบาลโสเภณี แล้วนี่อีก 2 ปีก็จะเปิดประเทศเสรี โดยที่ไม่คิดหาปลอก หาถุงยางอนามัยไว้ป้องกันตัว กฎหมายจะรองรับสักฉบับก็ยังไม่เห็น มีแต่ชักชวนให้ปรองดองเพื่อขายประเทศไทย แล้วคนไทยจะอยู่ที่ไหนถ้าจัญไรยังครองเมือง
ใน 15 วันเห็นดีกัน ด้วยกฎหมาย 3 ฉบับ เป็นอาวุธในมือ 1 ข่มขู่ 2 อั้งยี่ หรือซ่องโจร 3 ฟอกเงิน นั่น... เป็นวาจาของ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษได้พูดไว้ที่ภูเก็ต พี่น้องคนไทยทั่วโลกช่วยกันจดจำไว้ นี่ก็ครบกำหนดแล้วครับ.