ปัตตานี - นักวิชาการ ม.อ.ปัตตานี แนะภาครัฐควรมีมาตรการชัดเจนในการแก้ไขปัญหายางพารา โดยเฉพาะการเพิ่มมูลค่ายางพาราด้วยการแปรรูปในประเทศ พร้อมสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนในอุตสาหกรรมแปรรูปยาง คาดปี 2557 นี้ ปริมาณยางพาราจะล้นตลาดเนื่องมาจากผลผลิตยางในโครงการ 1 ล้านไร่ และอีก 2 ล้านไร่ที่อยู่นอกโครงการ
วันนี้ (13 ก.ย.) รศ.ดร.อาซีซัน แกสมาน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การผลิตยางพาราไทยใน 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า การใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพในนโยบายการเพิ่มมูลค่ายางพาราของรัฐบาล สำหรับแนวคิดของรัฐบาลที่เสนอให้มีการลดต้นทุนการผลิต โดยการช่วยเหลือในเรื่องปัจจัยการผลิตนั้น เป็นวิธีการแก้ปัญหาระยะสั้น ไม่ตรงจุด เพราะโครงสร้างต้นทุนปัจจัยการผลิตมีเพียง 15-20% เท่านั้น จะต้องมีมาตรการการบริหารจัดการเรื่องแรงงานที่ชัดเจนเพิ่มเติมด้วย
สำหรับมาตรการเกี่ยวกับการเร่งรัดการโค่นต้นยางอายุเกิน 25 ปี เป็นแนวคิดในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ แต่ในภาคปฏิบัติทำได้ยาก เนื่องจากรัฐไม่สามารถบังคับ แนะนำให้เกษตรกรโค่นต้นยาง และปลูกทดแทนใหม่ได้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงในอนาคตคือ ปริมาณยางพาราที่ล้นตลาด เนื่องจากในปี 2557 จะเป็นปีที่ปะเทศไทยมีผลผลิตยางเพิ่มจากผลผลิตยางในโครงการ 1 ล้านไร่ และอีก 2 ล้านไร่ ที่อยู่นอกโครงการ คาดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อราคายางพาราแน่นอน
รศ.ดร.อาซีซัน แกสมาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคอุตสาหกรรมเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหายางพารา โดยการนำยางพาราไปใช้ประโยชน์ในการทำเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ เป็นที่ทราบกันดีว่า ในปี 2555 ประเทศไทยส่งยางออกในรูปวัตถุดิบคือ ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน น้ำยางข้น และยางแปรรูปอื่นๆ ประมาณ 3.12 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 86 สร้างรายได้เข้าประเทศ 336,000 ล้านบาท ใช้แปรรูปในประเทศเพียง 0.5 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 14 แต่สร้างรายได้ 260,000 ล้านบาท เมื่อเทียบการเพิ่มมูลค่าเพิ่มพบว่าการใช้ยางพาราผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สามารถเพิ่มมูลค่าได้ประมาณ 4.8 เท่าของราคาวัตถุดิบ ปัจจุบัน ยางพารามีการใช้มากที่สุดในอุสาหกรรมการผลิตล้อรถยนต์ คิดเป็นร้อยละ 70 รองลงมาคือ ถุงมือยาง เส้นด้ายยางยืด ถุงยางอนามัย ยางฟองน้ำ
ทั้งนี้ ยางพาราสามารถไปใช้ประโยชน์เป็นถนนยางมะตอยผสมยางพารา เป็นแนวทางหนึ่งที่ได้มีการศึกษาวิจัย ซึ่งถ้ามีการผลักดันอย่างจริงจังจะทำให้มีการใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มมากขึ้น และยังสามารถใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ เช่น แผ่นยางปูพื้นสำหรับสนามเด็กเล่น สนามกีฬา เหล่านี้เป็นผลจากการวิจัยที่นักวิจัยในสถาบันการศึกษาได้ศึกษาไว้แล้ว หากมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนสามารถนำไปผลิตได้
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาต้นทุนการผลิตที่นำไปสู่การแก้ปัญหาราคายางควรมีมาตรการระยะเร่งด่วน เจรจากับทุกฝ่ายให้มีการประกันราคายาง มาตรการระยะกลางคือ ภาครัฐต้องมีนโยบายเร่งรัดการใช้ยางในประเทศ การสนับสนุนปัจจัยการผลิต การสนับสนุนถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ยางพาราให้ภาคเอกชน และสนับสนุนการลดหย่อนภาษีในระยะแรกของการลงทุนที่ชัดเจน ส่วนมาตรการระยะยาวคือ กำหนดนโยบายควบคุมการขยายพื้นที่ปลูก และมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้สูงขึ้น กำหนดนโยบายบริหารจัดการแรงงาน และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมจากยางพาราให้มีมูลค่าเพิ่ม โดยรัฐต้องสนับสนุนระยะยาวทั้งโครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์ และการพัฒนาคน มีการกำหนดเป้าหมายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นระยะ รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนอย่างเต็มที่ด้วย
วันนี้ (13 ก.ย.) รศ.ดร.อาซีซัน แกสมาน ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยและพัฒนานวัตกรรมยางพารา มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ เปิดเผยว่า สถานการณ์การผลิตยางพาราไทยใน 5 ปีที่ผ่านมา พบว่า การใช้ยางในประเทศเพิ่มขึ้นในอัตราที่ลดลง สะท้อนให้เห็นถึงความไม่มีประสิทธิภาพในนโยบายการเพิ่มมูลค่ายางพาราของรัฐบาล สำหรับแนวคิดของรัฐบาลที่เสนอให้มีการลดต้นทุนการผลิต โดยการช่วยเหลือในเรื่องปัจจัยการผลิตนั้น เป็นวิธีการแก้ปัญหาระยะสั้น ไม่ตรงจุด เพราะโครงสร้างต้นทุนปัจจัยการผลิตมีเพียง 15-20% เท่านั้น จะต้องมีมาตรการการบริหารจัดการเรื่องแรงงานที่ชัดเจนเพิ่มเติมด้วย
สำหรับมาตรการเกี่ยวกับการเร่งรัดการโค่นต้นยางอายุเกิน 25 ปี เป็นแนวคิดในการแก้ปัญหาราคายางตกต่ำ แต่ในภาคปฏิบัติทำได้ยาก เนื่องจากรัฐไม่สามารถบังคับ แนะนำให้เกษตรกรโค่นต้นยาง และปลูกทดแทนใหม่ได้ สิ่งที่น่าเป็นห่วงในอนาคตคือ ปริมาณยางพาราที่ล้นตลาด เนื่องจากในปี 2557 จะเป็นปีที่ปะเทศไทยมีผลผลิตยางเพิ่มจากผลผลิตยางในโครงการ 1 ล้านไร่ และอีก 2 ล้านไร่ ที่อยู่นอกโครงการ คาดว่าน่าจะมีผลกระทบต่อราคายางพาราแน่นอน
รศ.ดร.อาซีซัน แกสมาน กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาคอุตสาหกรรมเป็นส่วนสำคัญในการแก้ปัญหายางพารา โดยการนำยางพาราไปใช้ประโยชน์ในการทำเป็นผลิตภัณฑ์ชนิดต่างๆ เป็นที่ทราบกันดีว่า ในปี 2555 ประเทศไทยส่งยางออกในรูปวัตถุดิบคือ ยางแท่ง ยางแผ่นรมควัน น้ำยางข้น และยางแปรรูปอื่นๆ ประมาณ 3.12 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 86 สร้างรายได้เข้าประเทศ 336,000 ล้านบาท ใช้แปรรูปในประเทศเพียง 0.5 ล้านตัน คิดเป็นร้อยละ 14 แต่สร้างรายได้ 260,000 ล้านบาท เมื่อเทียบการเพิ่มมูลค่าเพิ่มพบว่าการใช้ยางพาราผลิตเป็นผลิตภัณฑ์สามารถเพิ่มมูลค่าได้ประมาณ 4.8 เท่าของราคาวัตถุดิบ ปัจจุบัน ยางพารามีการใช้มากที่สุดในอุสาหกรรมการผลิตล้อรถยนต์ คิดเป็นร้อยละ 70 รองลงมาคือ ถุงมือยาง เส้นด้ายยางยืด ถุงยางอนามัย ยางฟองน้ำ
ทั้งนี้ ยางพาราสามารถไปใช้ประโยชน์เป็นถนนยางมะตอยผสมยางพารา เป็นแนวทางหนึ่งที่ได้มีการศึกษาวิจัย ซึ่งถ้ามีการผลักดันอย่างจริงจังจะทำให้มีการใช้ยางพาราในประเทศเพิ่มมากขึ้น และยังสามารถใช้ประโยชน์ในรูปแบบอื่นๆ เช่น แผ่นยางปูพื้นสำหรับสนามเด็กเล่น สนามกีฬา เหล่านี้เป็นผลจากการวิจัยที่นักวิจัยในสถาบันการศึกษาได้ศึกษาไว้แล้ว หากมีการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ภาคเอกชนสามารถนำไปผลิตได้
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาต้นทุนการผลิตที่นำไปสู่การแก้ปัญหาราคายางควรมีมาตรการระยะเร่งด่วน เจรจากับทุกฝ่ายให้มีการประกันราคายาง มาตรการระยะกลางคือ ภาครัฐต้องมีนโยบายเร่งรัดการใช้ยางในประเทศ การสนับสนุนปัจจัยการผลิต การสนับสนุนถ่ายทอดเทคโนโลยีผลิตภัณฑ์ยางพาราให้ภาคเอกชน และสนับสนุนการลดหย่อนภาษีในระยะแรกของการลงทุนที่ชัดเจน ส่วนมาตรการระยะยาวคือ กำหนดนโยบายควบคุมการขยายพื้นที่ปลูก และมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภาพการผลิตให้สูงขึ้น กำหนดนโยบายบริหารจัดการแรงงาน และสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างนวัตกรรมจากยางพาราให้มีมูลค่าเพิ่ม โดยรัฐต้องสนับสนุนระยะยาวทั้งโครงสร้างพื้นฐาน อุปกรณ์ และการพัฒนาคน มีการกำหนดเป้าหมายผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เป็นระยะ รวมทั้งสนับสนุนการลงทุนของภาคเอกชนอย่างเต็มที่ด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น