คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
“เหมือนใบไม้ร่วง” !!
นั่นคือคำนิยามที่ถูกใช้เปรียบเทียบกับสถานการณ์ความรุนแรงของจังหวัดชายแดนภาคใต้ในขณะนี้ ซึ่งตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร ชรบ. ครู ผู้นำศาส นา รวมถึงประชาชนทั่วไป กลายเป็นเป้าหมายของ “กลุ่มก่อการร้าย” จนเกิดเหตุ “ตายรายวัน” วันละหลายๆ เหตุการณ์ จนทำให้สถานการณ์ที่ดีขึ้นระยะหนึ่งก่อนเดือนรอมฎอน กลับมาสู่โหมดของความรุนแรง และเลวร้ายอีกคราครั้ง
จะเห็นว่านอกจากกลุ่มก่อการร้ายจะซุ่มโจมตีเจ้าหน้าที่ด้วยระเบิดแสวงเครื่องแล้ว วันนี้ “ยุทธวิธี” ยังเปลี่ยนเป็นการใช้ “อาวุธปืน” ในการซุ่มโจมตีมากยิ่งขึ้น และจากการไม่ปฏิบัติการกับ “ครู” มาเป็นเวลาเกือบ 1 ปี วันนี้ก็กลับมาปฏิบัติการมุ่งหมายเอาชีวิตครูเป็นเหยื่ออีกครั้ง เฉพาะในห้วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม มีครูใน จ.นราธิวาส จ.ปัตตานี ถูกฆ่าไปแล้ว 3 ราย บาดเจ็บอีก 1 ราย
ชีวิตของ “ครู” ในขณะนี้จึงเหมือน “แขวนอยู่บนเส้นด้าย” อีกครั้ง
ในห้วง 2 เดือนที่ผ่านมา มีผู้นำศาสนา ครูตาดีกา กลายเป็นเหยื่อสถานการณ์ จนต้องสูญเสียชีวิตไปไม่น้อยกว่า 5 ราย ซึ่งทั้ง 5 รายหลังจากที่เสียชีวิตแล้ว ยังตกเป็น “เหยื่อของสถานการณ์” ของการปลุกระดม และโฆษณาชวนเชื่อจากกลุ่มก่อการร้ายว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อสร้างความเคลือบแคลงให้แก่ประชาชน และก็ได้ผล เพราะประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะเชื่อการ “สื่อสาร” ของกลุ่มก่อการร้าย และเห็นว่าการแถลงข่าวของ “กอ.รมน.” และ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” เป็นการ “แก้ตัว”
นั่นแสดงให้เห็นถึงสภาพความล้มเหลวของขบวนการ “สื่อสารกับประชาชน” ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของรัฐ
สถานการณ์ของจังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ ขณะนี้จึงดูเสมือนว่า เป็นการก่อความรุนแรงเพื่อแก้แค้น และตอบโต้กันของคน 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งคือ เจ้าหน้าที่รัฐ ได้แก่ ตำรวจ ทหาร และกองกำลังฝ่ายปกครอง กับอีกฝ่ายหนึ่งคือ กลุ่มโจรก่อการร้าย ซึ่งมีอยู่อย่างน้อย 3 กลุ่มได้แก่ กลุ่มก้อนของบีอาร์เอ็น โคออดิเนต กลุ่มของผลผลิตจากบีอาร์เอ็น แต่ไม่ไม่ขึ้นตรงต่อบีอาร์เอ็น เพราะไม่เห็นด้วยกับการ “พูดคุยสันติภาพ” ซึ่งเป็นกลุ่มที่ต้องการใช้ความรุนแรง ความโหดเหี้ยมในการปฏิบัติการต่อเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชน และกลุ่มสุดท้าย กลุ่มก่อการร้ายเพื่อผลประโยชน์
การยิงถล่มตำรวจของ สภ.รือเสาะ จ.นราธิวาส 4 ศพ คือการตอบโต้ และแก้แค้นเจ้าหน้าที่รัฐที่ตรวจค้นจับกุมกลุ่มโจรก่อการร้ายในพื้นที่ การฆ่า “ครูอธิคม ติวงศ์” ครูโรงเรียนบ้านประจัน คือการอ้างว่าเพื่อตอบโต้การเสียชีวิตของ “นายอับดุลรอปา ปูแทน” ครูและเจ้าของโรงเรียนสอนศาสนา และการฆ่า “นายกูไมดี มูซอ” ครูสอนศาสนา และรองประธานชมรมโรงเรียนตาดีกาของ อ.หนองจิก จ.ปัตตานี ก็เพื่อที่จะป้ายความผิดว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ เพื่อตอบโต้กลุ่มก่อการร้ายที่ฆ่าครูอธิคม ติวงศ์
นั่นคือสถานการณ์ที่มาความพยายามเชื่อมโยงให้เห็นถึงการตอบโต้ การเอาคืน หรือการแก้แค้นระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐกับกลุ่มโจรก่อการร้าย โดยมี “ประชาชนในพื้นที่” เป็น “ตัวประกัน”
ล่าสุด พล.ต.ต.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบช. ศชต. นำกำลังเข้าปิดล้อมจับกุม “นายสุกรี สาและ” กับ “นายอับดุลการีม สาและ” ซึ่งต้องสงสัยว่าเป็นผู้มีส่วนในการสังหารหมู่ตำรวจ สภ.รือเสาะ 4 ศพ ซึ่งปรากฏว่า ผู้ต้องสงสัยทั้ง 2 คนต่างให้การปฏิเสธ แต่เจ้าหน้าที่มีหลักฐานที่เชื่อว่า นายสุกรี เป็น “แกนนำระดับสั่งการ” ในพื้นที่ และเป็นกุญแจสำคัญที่จะสอบสวนเพื่อนำไปสู่กลุ่มก่อการร้ายที่เหลืออยู่ ซึ่งเชื่อว่าปฏิบัติการปิดล้อม ตรวจค้น จับกุม ผู้ต้องสงสัยของเจ้าหน้าที่ครั้งนี้จะต้องได้รับการตอบโต้ และจะต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐ หรือครู และประชาชนที่เป็นเป้าหมายอ่อนแอกลายเป็นเหยื่อของการ “เอาคืน” จากกลุ่มก่อการร้ายอย่างแน่นอน
เพียงแต่ยังไม่ทราบว่า “หวย” จะออกที่เป้าหมายไหน ระหว่างเจ้าหน้าที่รัฐ และประชาชนผู้บริสุทธิ์
“จะป้องกันอย่างไร” ?!
นี่ต่างหากคือ คำถาม ซึ่งเป็นโจทย์ที่ “ตำรวจ” กับ “ทหาร” จะต้องแก้ และให้คำตอบแก่คนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยเฉพาะคำตอบในวันนี้จะต้องชัดเจน เนื่องจากหลายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
เพราะการวางระเบิดวางเพลิงโรงงานยางไทยปักษ์ใต้ และโรงไม้ยางพาราที่ จ.ยะลา การวางเพลิงโชว์รูมรถจักรยานยนต์ โรงงานเฟอร์นิเจอร์ และย่านการค้าชาวไทยพุทธที่ จ.ปัตตานี และที่ จ.สงขลา การวางระเบิดโรงงานบรรจุก๊าซหุงต้มที่ อ.เมือง จ.นราธิวาส การฆ่า “อิหม่ามยะโก๊บ หร่ายมณี” อิหม่ามมัสยิดกลาง จ.ปัตตานี และการฆ่า “อับดุลรอปา ปูแทน” เจ้าของโรงเรียนและครูสอนศาสนาที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ฯเหล่านั้น “นายฮัสซัน ตอยิบ” ตัวแทนบีอาร์เอ็นปฏิเสธว่า ไม่ใช่การกระทำของบีอาร์เอ็น?!
จนกลายเป็นวันนี้สถานการณ์รุนแรงที่เกิดขึ้น บีอาร์เอ็นไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง บีอาร์เอ็นกำลังจะกลายเป็น “คนดี” ในความรู้สึกของคนในพื้นที่ และกำลังจะได้ใจมวลชนมากขึ้น โดยบีอาร์เอ็นยอมรับว่า เป็นผู้กระทำเฉพาะในส่วนของการโจมตีเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น และการโจมตีเจ้าหน้าที่ในความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ในพื้นที่คือ เฉยๆ ไม่ดีใจ และไม่เสียใจ เพราะ “อคติ” และ “ความเชื่อ” ที่ถูกฝังลึกมานับ 100 ปีว่า เจ้าหน้าที่รัฐคือ “ผู้ข่มเหง” คนมุสลิมยังถูกฝังลึกอยู่หัวใจของคนส่วนใหญ่นั่นเอง
แน่นอนว่าถ้า กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า และ ศชต. ยังปล่อยให้ “วงจร” การปฏิบัติการยังเป็นไปในรูปแบบเดิมๆ คือ จับกุมได้ผู้ต้องสงสัย แต่ปล่อยให้ประชาชน ครู ผู้นำศาสนา ครูตาดีกา ต้องเป็นเหยื่อของการเอาคืน เพื่อแก้แค้นจากกลุ่มก่อการร้าย ความสูญเสียก็จะเกิดขึ้นกับเป้าหมายอ่อนแออย่างไม่มีที่สิ้นสุด และจะเพิ่มมากขึ้นทุกขณะตามความถี่ของการ “รุก” ของเจ้าหน้าที่รัฐที่มีต่อเป้าหมายของกลุ่มก่อการร้าย
เพราะเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการเชิงรุกที่ได้ผล อย่าง “ได้ศพ” หรือ “ได้ตัว” ผู้ต้องสงสัย แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นการ “เพิ่มศพ” ของเป้าหมายอ่อนแอคือ ครู ผู้นำศาสนา ครูสอนศาสนา และประชาชน และวงจรนี้จะขยายมากขึ้นจนยากที่จะทำให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ลดความรุนแรงลงได้
สิ่งที่กลุ่มก่อการร้ายมุ่งหวังจากการเสียชีวิตของครู ผู้นำศาสนา และครูสอนศาสนาก็คือ การสร้างผลสะเทือนให้เกิดขึ้นในวงกว้าง เพราะครูตายหนึ่งศพจะมีผลกระทบต่อการจัดการศึกษา และกระทบต่อความรู้สึกของคนทั้งประเทศ ในขณะที่ผู้นำศาสนา และครูสอนศาสนาตาย จะเป็นการสร้างผลงานในการสร้างมวลชนของกลุ่มก่อการร้าย จากการปลุกระดม และโฆษณาชวนเชื่อว่า เป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ
สุดท้าย “ช่องว่าง” ระหว่างรัฐกับประชาชนที่เป็นมุสลิมก็ถูกถ่างกว้างออกมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ
ดังนั้น ทุกภาคส่วน ทุกองคาพยพ ตั้งแต่รัฐบาล กองทัพ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ศชต. ศอ.บต. และหน่วยงานอื่นๆ ในส่วนภูมิภาคจะต้องร่วมกันในการ “แก้โจทย์” และ “ตอบคำถาม” แก่คนในพื้นที่ว่า เราจะปล่อยให้การแก้ปัญหาความไม่สงบติดอยู่ใน “วงจร” แบบที่เกิดขึ้นต่อไป เพื่อที่จะ “หล่อเลี้ยง” ความรุนแรงเอาไว้เป็น “บ่อน้ำซับ” ของหน่วยงานต่างๆ ต่อไป?!
หรือเราจะร่วมกันสร้าง “เอกภาพ” ในการสร้างนโยบายใหม่เพื่อตัด “วงจรความชั่วร้าย” ที่เกิดขึ้นให้หมดไป เพื่อความสงบของจังหวัดชายแดนภาคใต้!!