ศูนย์ข่าวภูเก็ต - รองนายกรัฐมนตรี ฝากตำรวจทุกหน่วยตรวจสอบกลุ่มบุคคลใช้วีซ่าที่หายไปจากสถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ประมาณ 300 แผ่น และถูกชาวต่างชาตินำไปประทับตราทำวีซ่าปลอมเข้ามาในประเทศไทย ขณะที่ภูเก็ตจับได้แล้ว 1 คน ยังอยู่ระหว่างการติดตามอีก 2 ราย
วันนี้ (24 ส.ค.) พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีมีแผ่นดวงตราวีซ่าหายไปจากสถานเอกอัครราชทูตไทย กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย ประมาณ 300 แผ่น และถูกชาวต่างชาตินำไปประทับตราทำวีซ่าปลอมเข้ามาในประเทศไทย ว่า จากกรณีดังกล่าวกระทรวงการต่างประเทศ ตรวจสอบพบว่า แผ่นดวงตราวีซ่าที่หายไปได้ถูกนำใช้แล้ว จำนวน 259 แผ่น จึงมีการประชุมระหว่าง สตม.กับกระทรวงการต่างประเทศ จนได้ข้อมูลว่ามีหมายเลขใดบ้างที่หาย จากการตรวจสอบบางคนใช้เดินทางเข้าประเทศไทย จำนวน 103 ดวงตรา ซึ่งจำนวน 55 ดวงตรา เดินทางออกไปแล้ว 55 คน ล่าสุด ยังอยู่ในประเทศไทยจำนวนกว่า 40 คน และขณะนี้มีการจับกุมได้แล้วจำนวนหนึ่ง โดยถูกกักตัวที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่กรุงเทพฯ ซึ่งขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมอีกกว่า 30 คน จึงขอความร่วมมือจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการติดตาม ตรวจสอบกลุ่มบุคคลที่ลักลอบใช้วีซ่าปลอมเข้ามาในประเทศ
ขณะที่ พ.ต.อ.สัญชัย โชคขยายกิจ ผู้กำกับการด่านตรวจคนเข้าเมืองภูเก็ต กล่าวว่า สำหรับในส่วนของจังหวัดภูเก็ต ล่าสุด ทางตำรวจ สภ.กะรน ได้ดำเนินการจับกุมชาวไนจีเรีย จำนวน 1 คน คือ นายซินเวนดู โรมันนัส อิบองบูเลม อายุ 33 ปี ซึ่งจับกุมได้ในพื้นที่กะรน โดยจับกุมได้พร้อมยาเสพติดประเภทโคเคน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในพื้นที่จังหวัดภูเก็ตยังอยู่ระหว่างการติดตามจับกุมอีก 2 คน ที่คาดว่าจะใช้วีซ่าปลอม และเข้ามากบดานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต
อย่างไรก็ตาม เมื่อตรวจสอบข้อมูลจากหนังสือเดินทางของนายนายซินเวนดู โรมันนัส อิบองบูเลม พบว่า เดินทางเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 8 มิถุนายน 2556 เข้ามาจากด่านชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่ด่านสะเดา จังหวัดสงขลา และแจ้งข้อมูลว่า อยู่ที่อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา อย่างไรก็ดี ข้อเท็จจริงผู้ต้องหารายนี้อยู่ในจังหวัดภูเก็ต และไม่เคยเข้าไปในประเทศมาเลเซียมาก่อน ผู้ต้องหารายนี้หลบหนีเข้าเมืองไทยโดยการไปซื้อวีซ่าดังกล่าว จึงแจ้งข้อหาครอบครองสารเสพติดให้โทษประเภท 2 (โคเคน) โดยผิดกฎหมายเพื่อจำหน่าย และจำหน่าย และที่สำคัญคือ ข้อหาปลอมแปลงเอกสาร และใช้เอกสารปลอม เพราะเอาสติกเกอร์มาติดในหนังสือเดินทาง และหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย