xs
xsm
sm
md
lg

ดีเอสไอตั้งศูนย์ ศปอท.พร้อมงัด กม.3 ฉบับ ล้างบางมาเฟียต่างชาติ-แท็กซี่ป้ายดำ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ศูนย์ข่าวภูเก็ต - กระทรวงการท่องเที่ยวฯ จับมือดีเอสไอ ประกาศกร้าวจัดการมาเฟียแท็กซี่ป้ายดำ และมาเฟียต่างชาติแบบถอนรากถอนโคน หลังสร้างความเสียหายด้านการท่องเที่ยวมายาวนาน ตั้งศูนย์ปฏิบัติการร่วมป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยว ดีเดย์อีก 15 วัน เริ่มปฏิบัติการลุยจับไม่ไว้หน้า นำ 3 กฎหมายเกี่ยวข้องทั้ง กรรโชกทรัพย์ อั้งยี่ ฟอกเงิน ดำเนินการขั้นเด็ดขาดเต็มรูปแบบ

วันนี้ (25 ก.ค.) นายสมศักย์ ภูรีศรีศักดิ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา พร้อมด้วย นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ ลงพื้นที่ภูเก็ตประชุมร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เกี่ยวกับการดำเนินการกับรถรับจ้าง (แท็กซี่) ที่มีลักษณะเป็นกลุ่มผู้มีอิทธิพลข่มขู่ และทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยว ณ ห้องประชุม 2 สำนักงานท่าอากาศยานนานาชาติภูเก็ต หลังจากนั้น ได้เดินทางมาประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ และเอกชน ที่ศาลากลางจังหวัดภูเก็ต โดยมีนายสุวัฒน์ สิทธิหล่อ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ น.ส.สมหมาย ปรีชาศิลป์ นายจำเริญ ทิพยพงศ์ธาดา รองผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต นายประเทือง ศรขำ ผอ.การท่าอากาศยานภูเก็ต และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วม

นายสมศักย์ กล่าวว่า กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มีภารกิจในการกระตุ้นการท่องเที่ยว และมีเป้าหมายสร้างรายได้จากการท่องเที่ยวให้ได้ 2.2 ล้านล้านบาท ภายในปี 2558 นี้ ซึ่งรายได้ที่เกิดจากการท่องเที่ยวจะเป็นไปตามเป้าหมายนั้น จะต้องมีการแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการท่องเที่ยว โดยเฉพาะปัญหาเรื่องของความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของนักท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีปัญหาเกี่ยวกับรถรับจ้าง ซึ่งมีกลุ่มอิทธิพลในพื้นที่ภูเก็ตที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่นักท่องเที่ยว และนับวันจะรุนแรงมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมา ทางกระทรวงฯ ได้รับการร้องเรียนจากผู้ประกอบการในพื้นที่ และเอกอัครราชทูตประเทศต่างๆ อย่างต่อเนื่องถึงปัญหาที่เกิดขึ้นกับนักท่องเที่ยวจากกลุ่มรถรับจ้าง โดยขอให้ทางกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา จัดการขั้นเด็ดขาดกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลเหล่านี้ ทางกระทรวงฯ จึงได้หารือ และยื่นหนังสือต่อทางดีเอสไอ ให้ลงมาดำเนินการแก้ไขปัญหาดังกล่าว เพื่อให้เป้าหมายการท่องเที่ยวเป็นไปตามที่วางไว้ ซึ่งมั่นใจว่าถ้าสามารถขจัดปัญหาต่างๆ ไปได้ภายในสิ้นปี 2556 นี้รายได้ 2.2 ล้านล้านบาท สามารถทำได้อย่างแน่นอน ภายใต้ความร่วมมือจากทุกหน่วยงานจะต้องร่วมมือกัน

ซึ่งในการแก้ไปปัญหากลุ่มผู้มีอิทธิพล กลุ่มมาเฟียที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยวนั้น ตนได้สั่งการให้บูรณาการความร่วมมือของหน่วยงานต่างๆ โดยการจัดตั้ง “ศูนย์ปฏิบัติการร่วมเพื่อป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยว” หรือ ศอ.ปท. ขึ้นที่จังหวัดภูเก็ตเป็นแห่งแรก และตามมาด้วยพัทยา โดยศูนย์ดังกล่าวจะเริ่มปฏิบัติงานอย่างจริงจังภายใน 15 วันหลังจากนี้

ด้านนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสวบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ.กล่าวว่า ในการปราบปรามผู้กระทำความผิดที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยวนั้น ทางดีเอสไอไม่ได้มาแย่งงานของหน่วยงานอื่นๆ หรือเป็นการทำงานซ้ำซ้อน แต่การเข้ามาของดีเอสไอเป็นการเข้ามาทำงานแบบซ้ำเสริม ช่วยเสริมงานด้วยกัน เพื่อให้การทำงานประสบความสำเร็จ เดิมหน่วยงานดีเอสไอมีศูนย์ภูมิภาค ภาค 8 ซึ่งอยู่ที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี และดูแลงานพื้นที่จังหวัดภูเก็ตอยู่แล้ว โดยได้รับมอบหมายให้ดูแลงานปราบปรามผู้มีอิทธิพลเกี่ยวกับการออกเอกสารสิทธิที่ดิน แต่เมื่อได้รับมอบหมายจากรัฐมนตรีให้ดูแลงานปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยวชัดเจนขึ้น ก็ได้ส่งทีมงานมาทำงานล่วงหน้าประมาณ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา

จากการลงพื้นที่พบว่า กลุ่มผู้มีอิทธิพลในจังหวัดภูเก็ต แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มมาเฟียที่เป็นคนไทยด้วยกัน ที่ตั้งตัวเป็นแก๊งมาเฟียแท็กซี่ป้ายดำ หรือแท็กซี่เถื่อน ซึ่งมีกระจายอยู่ในพื้นที่ต่างๆ ของภูเก็ต มีประมาณ 15 แก๊ง เช่น ที่สนามบินภูเก็ต หน้าโรงแรมต่างๆ ในพื้นที่ป่าตอง กะตะ กะรน ด้วยการสร้างเป็นซุ้มไม้ไผ่

สำหรับกลุ่มมาเฟียแท็กซี่ป้ายดำนั้น โดยพฤติกรรมของการข่มขู่นักท่องเที่ยวให้ใช้บริการ ตั้งแต่ที่นักท่องเที่ยวเดินทางถึงภูเก็ตก้าวแรกที่สนามบิน ไปจนถึงหน้าโรงแรมหลายแห่งในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต สำหรับในส่วนของสนามบินนั้น แม้ว่าทางท่าอากาศยานจะพยายามแก้ไขปัญหา แต่ก็ยังมีการดักข่มขู่นักท่องเที่ยว ฉุดกระชากลากถูถึงขั้นใช้อาวุธข่มขู่ ไปจนถึงตามลานจอดรถเป็นพฤติกรรมที่น่าละอาย และถือเป็นเรื่องร้ายแรงคือ มีกลุ่มแท็กซี่บางกลุ่มที่ไม่ยินยอมให้รถพยาบาลเข้าไปรับผู้ป่วยที่โรงแรม โดยพยายามบีบบังคับให้ใช้บริการของตัวเองเท่านั้น ซึ่งเป็นเรื่องที่ควรจะเร่งแก้ไขโดยการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ซึ่งจะอาศัยการทำงานของหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ จะต้องร่วมมือกันหลายฝ่าย

และกลุ่มมาเฟียต่างชาติ ซึ่งมีหลายชาติด้วยกัน ทั้งรัสเซีย จีน เกาหลี โดยกลุ่มมาเฟียต่างชาติจะใช้คนไทยเป็นนอมินี ตอนนี้ ทางดีเอสไอมีข้อมูลของแก๊งมาเฟียเหล่านี้แล้ว ซึ่งมีหลายแก๊งด้วยกัน ส่วนการตรวจสอบนอมินีพบว่า มีคนไทยบางรายเป็นกรรมการบริษัทที่มีชาวต่างชาติถือหุ้นมากกว่าถึง 200 บริษัท เป็นการขยายอาณาจักร สิ่งนี้ปล่อยไว้ไม่ได้เหมือนกัน จะต้องจัดการ

นายธาริต กล่าวต่อว่า หลังจากรับนโยบายจากรัฐมนตรีท่องเที่ยวที่ขอให้มีการบูรณาการการทำงานเพื่อเดินหน้าแก้ไขปัญหาเรื่องมาเฟียโดยการตั้ง “ศูนย์ปฎิบัติการร่วมมือป้องกันและปราบปรามผู้มีอิทธิพลที่เป็นภัยต่อการท่องเที่ยว” ทางดีเอสไอก็ได้ประสานกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อจัดตั้งศูนย์ดังกล่าวแล้ว โดยจะตั้ง 2 พื้นที่ในภูเก็ต และพัทยา โดยที่ภูเก็ตมี 2 จุด จุดแรกที่ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวท่าอากาศยานภูเก็ต ซึ่งจะดำเนินการเลย โดยการสนธิกำลัง 24 ชั่วโมง และศูนย์ปฏิบัติการในเขตพื้นที่อำเภอเมือง ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้กำหนดว่าจะใช้จุดใด ซึ่งองค์ประกอบของศูนย์ดังกล่าว จะมีการบรูณาการร่วมกันระหว่าง 4 หน่วยงาน ซึ่งประกอบด้วย กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ดีเอสไอ จังหวัดภูเก็ต และตำรวจ ซึ่งในส่วนของตำรวจจะมีทั้งตำรวจภูธร และตำรวจท่องเที่ยวที่เข้าร่วม ซึ่งศูนย์ดังกล่าวจะเปิดดำเนินการหลังจากวันนี้ (25 ก.ค.) อีก 15 วัน ถึงตอนนั้นจะมีการจัดการขั้นเด็ดขาดในส่วนของผู้มิอิทธิพลทั้งในส่วนของมาเฟียแท็กซี่ป้ายดำ และมาเฟียต่างชาติที่หากินทำลายการท่องเที่ยวของภูเก็ตอยู่

โดยการดำเนินการกับกลุ่มแท็กซี่ป้ายดำที่ทำตัวเป็นมาเฟียจะใช้กฎหมายดำเนินการขั้นเด็ดขาดและจัดเต็มรูปแบบ โดยใช้กฎหมายดำเนินการ 3 ฉบับด้วยกัน คือ กฎหมายอาญาเรื่องของการกรรโชกทรัพย์ กฎหมายอาญาเกี่ยวกับการอั้งยี่และช่องโจร ซึ่งในการจับกุมนั้นไม่ได้จบเพียงขั้นตอนของการดำเนินคดีตามกฎหมายอาญาเท่านั้น แต่ทางดีเอสไอจะร้องขอให้ดำเนินการในความผิดฐานฟอกเงินด้วย ซึ่งจะต้องมีการยึดทรัพย์ตามมาเพื่อดำเนินการเต็มรูปแบบ เชื่อว่าหลังจากมีการประกาศตั้งศูนย์ดังกล่าวจะต้องมีคนที่ต้องการท้าทายศักยภาพการทำงานของศูนย์ดังกล่าว ซึ่งถ้ามีการท้าทายขอยืนยันว่าเจอกันอีก 15 วันแน่นอน

นายธาริต กล่าวต่อไปว่า ในการปราบปรามกลุ่มมาเฟียนั้นหลังจากตั้งศูนย์แล้วเสร็จจะเดินหน้าจัดการขั้นเด็ดขาด ทำแบบถอนรากถอนโคน เพราะเชื่อว่าต่างชาติเพียงฝ่ายเดียว หรือคนขับรถแท็กซี่ป้ายดำเพียงฝ่ายเดียวคงไม่สมารถทำตัวเป็นมาเฟียได้มากขนาดนี้ ถ้าไม่มีผู้มีอิทธิพล หรือผู้นำท้องถิ่นหนุนหลัง การทำงานของศูนย์จะไม่เลือกปฏิบัติโดยใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 3 ฉบับเข้ามาจัดการ ประกอบด้วย 1.กฎหมายกรรโชกทรัพย์ 2.กฎหมายเกี่ยวกับอั้งยี่ ซ่องโจร และ 3.กฎหมายฟอกเงิน

สำหรับการตั้งศูนย์ที่สนามบินเชื่อว่าจะสามารถสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวได้อย่างแน่นอน นักท่องเที่ยวที่ถูกข่มขู่ หรือทำร้ายร่างกายก็สามารถที่จะแจ้งที่ศูนย์ได้ทันที รวมทั้งในส่วนของผู้ประกอบการปฏิบัติถูกต้องตามกฎหมายถ้าได้รับความเดือดร้อนของกลุ่มบุคคลที่เป็นมาเฟียก็สามารถแจ้งได้เลย ทางเจ้าหน้าที่จะส่งชุดเคลื่อนที่เร็วเข้าจัดการทันทีเช่นเดียวกัน ซึ่งในวันนี้ เป็นการประกาศให้รู้ว่าคนที่ทำความผิดอยู่ หรือทำตัวเป็นมาเฟียขอให้หยุดการกระทำดังกล่าวเสียเพราะถ้ายังไม่หยุดจะต้องถูกจัดการขั้นเด็ดขาดแน่นอน

นายธาริต ยังได้กล่าวต่อไปถึงการรับมือกับกลุ่มม็อบที่อาจจะเกิดขึ้นหลังมีการกวาดล้างอย่างจริงจังว่า เรื่องนี้จะต้องทำความเข้าใจกับทุกภาคส่วนในพื้นที่ถึงการดำเนินการเกี่ยวกับผู้ที่กระทำความผิดว่าเป็นการดำเนินการตามกฎหมาย และเป็นการบังคับใช้กฎหมายที่จะดำเนินการแบบเสมอภาค ถ้าม็อบมาแบบไม่ถูกต้องก็พร้อมที่จะมีการดำเนินการตามกฎหมายเช่นเดียวกัน และเพื่อให้การแก้ปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวมากขึ้นขณะที่ทราบว่าทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ประสานไปยังกระทรวงยุติธรรมให้ออกกฎหมาย พ.ร.บ.คุ้มครองนักท่องเที่ยวขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งใหม่สำหรับประเทศไทย เพราะที่ผ่านมา ยังไม่เคยมี พ.ร.บ.นี้ใช้ในประเทศไทยเลย






 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น