คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
ในวันที่ 14 มิถุนายน 2556 กลางเดือนนี้แหละ คณะเอกอัครราชทูต และนักการทูตจาก 20 ประเทศสหภาพยุโรปจะมาเยือนภูเก็ต ภายใต้การนำของ มร.เดวิด ลิปแมน เอกอัครราชทูตสหภาพยุโรป พร้อมกันนั้น ก็จะเข้าพบ ไมตรี อินทุสุต ผู้ว่าราชการจังหวัด ในฐานะที่เป็นผู้บริหารราชการสูงสุดในพื้นที่ ตามนโยบายรัฐบาล แน่นอนว่า ต้องมีผู้เกี่ยวข้อง หัวหน้าส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจในภูเก็ต เป็นพระอันดับเรียงรายเป็นลูกคู่ประสานเสียง ขุนพลอยพยัก และคอยรับลูกถ้าหลุดมาถึง
นอกจากการเข้าพบผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ตแล้ว คณะทูตชุดนี้จะมีการพูดคุยกับผู้ประกอบการ ตัวแทนบริษัทท่องเที่ยว และธุรกิจเกี่ยวเนื่องด้วย สมาคมธุรกิจท่องเที่ยวภูเก็ตน่าจะเป็นแกนหลัก ตามด้วยกลุ่มอันดามัน หลังจากนั้นในตอนบ่าย 16.30-17.00 น. ก็จะมีการแถลงข่าวต่อสื่อทุกแขนงในภูเก็ต และให้โอกาสซักถามที่โรงแรมเจดับบลิว แมริออท ภูเก็ต
ความรู้สึก หรือจะเป็นลางสังหรณ์ก็น่าจะได้ บอกว่าการมาเยือนภูเก็ตของคณะทูตชุดนี้ น่าจะเป็นเรื่องที่ไม่ค่อยดีนักต่อธุรกิจท่องเที่ยวของจังหวัดภูเก็ต และแถบฝั่งอันดามัน เพราะในช่วงระยะหลังปีสองที่ผ่านมา ภาพลักษณ์ของการท่องเที่ยวบ้านเรามีแต่ปัญหาติดลบมาตลอด
ล้วนเป็นปัญหาเน่าเฟะในวงการธุรกิจท่องเที่ยว คาราคาซังมานมนาน ที่ภาครัฐในพื้นที่แก้ไม่ได้ หรือไม่มีฝีมือ และน้ำยาที่จะแก้ไขให้เป็นรูปธรรมแบบบูรณาการ แม้จะเสนอไปยังส่วนกลางเพื่อขอความเห็น หรือขออำนาจในการจัดการ แต่ก็ถูกดองลืมทิ้ง ทุกปัญหาที่เกิดขึ้นจึงคงใช้วิธี “ขายผ้าเอาหน้ารอด” หรือแค่ “ปัดสวะ” เท่านั้นเอง
วันนี้ผ่านไปได้ วันหน้ามันก็กลับมาอีก
อยากจะให้ผู้บริหารระดับสูงของท้องถิ่น ตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัด ลงมาถึงผู้เกี่ยวข้องแต่ละฝ่าย รวมทั้งภาคเอกชน และกงสุลประเทศต่างๆ ที่มีอยู่ในภูเก็ตลองหลับตานั่งนึก ทบทวนดูสิว่า แก้ปัญหาอะไรได้สำเร็จบ้าง หรือได้ชี้แนะแนวทางไปอย่างไร ทั้งในพื้นที่ และในส่วนของรัฐบาลเอง ทำไมถึงยังไม่ได้รับการแก้ไข
ลองช่วยจาระไนผ่านสื่อให้ประชาชน และนักท่องเที่ยว รวมทั้งผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบให้ได้รับทราบบ้าง ในสภาพความเป็นจริงในปัจจุบัน อยู่ในลักษณะน้ำท่วมปากกันทั้งนั้น มัวแต่เกรงใจ ลูบหน้าปะจมูก หรือไม่ก็มีแผล เป็นวัวสันหลังหวะ กลัวถูกสะกิดแผลเน่า ต่างอ้ำอึ้ง แถลงข่าวตอบสื่อก็ข้างๆ คูๆ มัวแต่ยกแม่น้ำทั้งห้า วกวนจนไขว้เขว
ผู้ว่าราชการจังหวัดที่ย้ายมากี่คนก็ตาม ก็นั่งทับขี้กองเดิม ที่อยู่บนเก้าอี้ตัวนั้นอีกนั่นแหละ พอย้ายไปคนใหม่ย้ายมาก็นั่งทับต่อ ซ้ำแล้วซ้ำอีก เป็นอยู่อย่างนี้ไม่รู้จบ
แม้จะตั้งกรรมการ อนุกรรมการ กี่ชุดต่อกี่ชุดก็แก้ไม่ได้ กรรมการที่ตั้งมันก็ไอ้ข้าราชการขี้ครอกในพื้นที่ ขี้ที่นายนั่งทับยังเช็ดยังล้างไม่ได้ แล้วใครจะแกว่งเท้าไปหาเสี้ยน พอเลิกประชุมยัดเอกสารเข้าแฟ้ม เดินกลับห้องทำงานแล้วโยนเข้าลิ้นชัก ก็จบ
เป็นอย่างนี้จะได้อะไรขึ้นมา ไม่มีใครไปดำเนินการให้เป็นจริง หรือพอใครคิดจะเอาจริง แต่มือตีนกลับเป็นง่อยไม่ขยับ เพราะมีตอ มีเส้น มีอิทธิพลขวาง ก็จบ กลับห้องไปนั่งตากแอร์ดูทีวี เล่นเฟซบุ๊ก เล่นเกมดีกว่า รอเวลาเลิกงาน
คนไทยทุกคนรู้ว่ามีกฎหมาย ปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งผู้มีหน้าที่รักษากฎหมาย และผู้ฝ่าฝืนกฎหมาย แล้วผู้เกี่ยวข้องทั้งทางตรง และทางอ้อมก็รู้วิธีแก้ ว่าต้องเริ่มต้นด้วยการเข้มในกฎหมาย
ปัญหาจราจรเมืองภูเก็ต ผู้ใช้รถใช้ถนนในพื้นที่ล้วนไม่เคารพกฎกติกา หรือกฎจราจร ผ่าไฟแดงเป็นว่าเล่นในทุกแยก ทุกเส้นทาง ไฟเหลืองเตือนให้หยุด กลับจ่อ“ติดเป้ง”ตูดรถคันหน้าไหลตาม จนไฟแดงขึ้นก็ยังจ่อตามไปอีก จอดในที่ห้ามจอด หรือไม่ก็จอดขวางลำกลางถนนเปิดไฟกะพริบเดินลงไปทำธุระ แม้จะ 2-3 นาที แต่รถหลังไปไม่ได้ มันก็ติดยาวเหยียดเป็นหางว่าว เพราะถนนมันแคบ จะแซงจะหลบก็ไม่ได้ รถมากขึ้นทุกวัน
ส่วนเรื่องรณรงค์ให้สวมหมวกกันน็อก 100% ป้ายติดไว้ทุกสี่แยกสามแยก จนหมดเวลาอะลุ่มอล่วย กฎหมายบังคับใช้ วันดี คืนดีก็ตั้งด่านจับ ก็ยังฝ่าฝืน ทั้งหัวดำ หัวแดงสีเหมือนขนหมาฟูฟ่อง เอ้อระเหย ลอยไปก็ลอยมาทั้งคนขับ และคนซ้อนมีให้เห็นทุกเส้นทางทั้งวัยรุ่น วัยดึก ในเส้นทางหลักออกนอกเมือง มีเลนรถเครื่องวิ่งก็ไม่ใช้ ดันออกมาร่อนไปก็ร่อนมากลางถนนท้าทายให้รถยนต์ รถบรรทุกทับ บี้หัวเล่น
นักท่องเที่ยวต่างชาติเห็นเข้า บ้านยูเมืองยู ยูทำได้ไอมาเที่ยวไอก็ทำตาม แต่มันเงอะงะ ไม่ปราดเปรียวเหมือนวัยรุ่นไทยเจ้าของพื้นที่ ประกอบกับไม่คุ้นเคยกับถนน และการจราจรไทยที่วิ่งซ้าย แซงขวา พอเกิดอุบัติเหตุ เจ็บสาหัส หรือตาย ก็กลายเป็นเรื่องใหญ่ เรื่องยาว
ผิดกับคนในพื้นที่ ถ้าตายผ่านจากโรงพยาบาล ก็พาเข้าวัดเผา หรือเอากลับไปฝังตามประเพณี ตายกันง่ายครับ ตายเหมือนหมากลางถนน เจ็บตายกันได้ทุกวัน ฝ่ายชน หรือฝ่ายตรงกันข้ามก็เดือดร้อนไม่มากก็น้อย ถ้ามีเส้นมีสาย เจ้าหน้าที่เกรงใจก็เดือดร้อนน้อยหน่อย แค่เสียเงินฟาดหัวไปบ้างตามธรรมเนียมไทย อาจจะไม่ต้องถึงศาล
ตัวอย่างมีให้เห็นทุกวัน คนไทยไม่กลัวตาย ไม่กลัวกฎหมาย และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจจราจร ไม่ได้ประจำอยู่ทุกเส้นทาง และอยู่ตลอดเวลา จะอยู่ก็เฉพาะเวลาเร่งด่วนตอนเช้า กับช่วงเย็น นอกนั้นเวลาวันดีคืนดีก็ตั้งด่านตรวจจับกันทีให้รถมันติด จราจรเป็นอัมพาตเสียที ให้ประชาชนผู้ใช้รถใช้ถนนได้ด่าเล่นแก้เหงาปาก
แต่รถยนต์ทำผิดกฎหมาย ผิดกฎจราจรฝ่าไฟเหลืองไฟแดงติดเป้งก้นคันหน้ากลับไม่สนใจ หรือแม้กระทั่งรถพยาบาล รถกู้ชีพเปิดหวอสนั่นลั่นทุ่งมา จราจรภูเก็ตกลับยืนพุงปลิ้นมองเฉยฉิบ แทนที่จะช่วยโบกรถเปิดทางให้ไปก่อน กลับปล่อยให้จอดรอไฟแดงตามปกติ ทั้งๆ ที่คนใกล้ตายนอนงาบๆ อยู่ในรถ เหี้ยจริงๆ
กฎหมายมีแต่ไม่เข้ม ไม่ใช้ ข้ออ้างก็คือ เจ้าหน้าที่มีน้อย ในช่วงที่ติดกล้องซีซีทีวี หรือกล้องวงจรปิด ว่าจะนำมาใช้กับผู้ฝ่าฝืนกฎจราจรตามสี่แยกสามแยก จะส่งใบสั่งทางไปรษณีย์เอาเข้าจริงกลับหายจ้อย แล้วหน้าไหนใครมันจะไปกลัว ไปเคารพกฎจราจร
อุบัติเหตุเป็นปัญหาอันดับหนึ่งในเมืองท่องเที่ยว อย่างภูเก็ต ทีนี้หันมาในเรื่องความปลอดภัยทั้งร่างกาย จิตใจ รวมทั้งทรัพย์สิน ของนักท่องเที่ยว ที่มีทั้งฆ่า ข่มขืน ปล้นจี้ วิ่งราวหลอกลวง เอารัดเอาเปรียบของไกด์ แท็กซี่ ผู้ประกอบการ ร้านค้า จิวเวลรี ลงไปจนถึงในทะเล เจ็ตสกี เรือหางยาว เรือทัวร์ที่โก่งราคาจนสุดกู่หลังหลอกให้ใช้บริการ
ปัญหาทั้งหมดเกิดขึ้นเป็นประจำ ลวนลาม กักขังหน่วงเหนี่ยวนักท่องเที่ยวจีนของแท็กซี่ป้ายดำ นรกมาเกิดผ่านไปหยกๆ และก่อนหน้านั้นก็มีอีกหลายรายไม่โวยในเมืองไทย แต่กลับไปโวยที่ออสเตรเลีย และอีกหลายประเทศ มีเป็นประจำ
นับเป็นเรื่องที่น่าเวทนาอย่างที่สุด สำหรับเกาะภูเก็ต ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวระดับโลก ที่ว่ากันว่า มีความสวยงามของธรรมชาติ หาดทรายสีขาวยันสีทอง น้ำทะเลสะอาดกว้างใหญ่สุดลูกหูลูกตาจนมองเป็นสีคราม เกาะแก่งบริวารอีกมากมายหลายสิบเกาะทั้งของตัวเอง และของเพื่อนบ้าน ล้วนได้รับคำชมเชยจากนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ผู้ที่อยู่ภูเก็ต ผมไม่เรียกว่าคนภูเก็ต (เพราะคนภูเก็ตจริงๆ เหลือน้อยแล้ว) เดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย สหรัฐอเมริกา หรือกลุ่มประเทศในยุโรป สแกนดิเนเวีย ถ้าบอกเดินทางมาจากไทยแลนด์ เขาจะเป็นงง ใช้ความคิดอยู่หลายนาที แต่ถ้าบอกว่า มาจากภูเก็ต เขาจะขานรับรู้จักทันที นี่เป็นการบอกเล่าจากคนที่เดินทางไปสัมผัสมา
ก็แค่รับฟังเขาเล่าว่า ผมเองไม่มีบุญวาสนา แค่เมืองไทยยังไปไม่ทั่ว!!!
ชื่อเสียงเกาะภูเก็ตลือลั่นกระฉ่อนโลก ก็ด้วยการโปรโมชันของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ตั้งแต่ยังใช้ชื่อ อ.ส.ท. ยุคไดโนเสาร์ ที่ได้รับงบประมาณทั้งจากรัฐ และจากองค์กรต่างๆ แต่ละแห่งเจียดให้ไปจำนวนมหาศาล เอาไปโฆษณา ประชาสัมพันธ์ในสื่อต่างประเทศทุกชนิด เชิญสื่อประเทศต่างๆ นั่งเครื่องบินมาภูเก็ตเลี้ยงดูปูเสื่อกินอาหารดีๆ นอนโรงแรมหรู เอาใจจนแทบจะป้อนจะอุ้มขึ้นเตียง
จัดงบประมาณไปโรดโชว์สารพัดประเทศแทบทุกเดือน กลัวจะไม่มีข่าว ก็หิ้วสื่อในพื้นที่ติดสอยห้อยตามไปด้วย โอ๋กันชนิดสุดๆ แล้วก็เอามาด่าลับหลัง แค่ไปถ่ายรูปมาโพสต์ในเฟชบุ๊กโก้ แล้วก็เขียนข่าวตามที่แถลง หิ้วเขาไปทำไม พาเขาไปเที่ยว แล้วกลับมานินทาลับหลัง ก็เหมือนกับที่เชิญสื่อต่างประเทศมานั่นแหละ พอเขากลับไปก็บ่นอีกนั่นแหละว่า แต่ละรายไม่เห็นจะได้ความ
ครับ,... ผมขอสงวนแหล่งข่าว จะได้รู้ว่าไส้พุงเรามันสกปรกยังไง แค่ไหน สื่อทั้งหลายไม่ต้องมาถามนะว่าเป็นใคร หน่วยงานไหน ที่ผมไปฟังมา
จากการโปรโมชันสุดฤทธิ์สุดเดชทั้งภาครัฐ และเอกชนดังกล่าว ก็เพื่อผลประโยชน์ทางการท่องเที่ยว ดึงนักท่องเที่ยวเข้ามาให้ได้ตามเป้าเท่านั้นเท่านี้ โกยเงินถ่ายประเป๋านักท่องเที่ยวให้ได้มากที่สุด ทำให้นักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้ามามาก ทั้งที่มีคุณภาพ และไม่มีคุณภาพ ตอนแรกห่วงกันว่า จะโอเวอร์ มากเกินที่จะรองรับได้ หาวิธีที่จะเบรก และคัดกรอง เพื่อรักษาสภาพสิ่งแวดล้อมของทรัพยากร มาปัจจุบันความคิดนี้ถูกเขี่ยตกขอบไปแล้ว โรงแรมห้องพักเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณไม่มีการกลัวเป็นโรงแรมร้าง
คิดว่าการมาเยือนของนักการทูตจากสหภาพยุโรปคราวนี้ มาเกี่ยวกับการท่องเที่ยวโดยเฉพาะ และก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องนักท่องเที่ยวของเขาได้รับผลกระทบ และมีปัญหาในภูเก็ต และแถบฝั่งอันดามัน ที่เราปล่อยทิ้งให้เกิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า จากที่ผมได้กล่าวมา
ถ้าการพูดคุยกับทางภาครัฐ และภาคเอกชนในพื้นที่โดยเฉพาะภูเก็ต ไม่ประทับใจ ไม่เป็นที่พอใจในมาตรการของเรา และมีการประกาศไม่รับรองความปลอดภัย หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกกรณีกับนักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้าภูเก็ตจากรัฐบาล หรือทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของเขา
คราวนี้แหละ การท่องเที่ยวของภูเก็ตก็คงจบ นักท่องเที่ยวประเภทกุ๊ยข้างถนน สิบแปดมงกุฎ หรือพวกขี้ยา รวมทั้งสูงสุดก็น่าจะได้ต้อนรับนักฟอกเงินมาเฟียระดับโลกเพิ่มเงินอย่างแน่นอน
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ก็ขอภาวนาให้การเดินทางมาเยือนของคณะทูตชุดนี้ เป็นเรื่องดีมากกว่าเรื่องไม่ดีอย่างที่ผมคิดมากไปเองก็แล้วกัน