นครศรีธรรรมราช - โรงเรียนที่มีจำนวนนักเรียนต่ำเกณฑ์นครศรีธรรมราชเกือบ 100 โรงจ่อถูกยุบ "“สัมพันธ์ ทองสมัคร” อดีต รมว.ศึกษาธิการ โพสต์ใน Facebook ขอร้อง “พงศ์เทพ” ชะลอไว้ก่อน
วันนี้ (9 พ.ค.) ที่ จ.นครศรีธรรมราช หลังจากมีนโยบายในการยุบโรงเรียนขนาดเล็กที่มีนักเรียนน้อย และต่ำกว่า 60 คน พบว่า ในส่วนของนครศรีธรรมราช มีเกือบ 100 โรงเรียน และอาจมีตัวเลขเพิ่มขึ้นมากกว่านี้หลังจากจำนวนนักเรียนในช่วงเปิดเทอม โดยเฉพาะโรงเรียนขนาดเล็กอยู่แล้ว มีนักเรียนชั้น ป.6 จบการศึกษาไป นักเรียนที่เข้าเรียนใหม่ในชั้น ป.1 จะน้อยลงกว่าเดิม ส่งผลให้ยอดรวมนักเรียนจากทุกสายชั้นจะต่ำกว่าเกณฑ์ลงไปอีก
เช่นเดียวกับโรงเรียนวัดมะม่วงสองต้น อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ที่มีนักเรียนรวมในปีการศึกษาที่ผ่านมา 64 คน จบการศึกษาไป 14 คน มีนักเรียนเข้าใหม่ที่มีการสมัครแล้ว 7 คน เหลือยอดรวมในขณะนี้ 57 คน และยังไม่ทราบว่าเปิดภาคการศึกษาของปีการศึกษาใหม่ในวันที่ 15 พ.ค.56 นี้ จะมียอดรวมเพิ่มขึ้นหรือไม่
ขณะเดียวกัน โรงเรียนวัดราษฎร์ประดิษฐ์ ที่อยู่ห่างไปราว 2 กิโลเมตร ได้ถูกทิ้งร้างเนื่องจากบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 2 คน นักการอีก 1 คน และนักเรียนอีก 14 คน ได้ถูกนำมารวมไว้ที่โรงเรียนวัดมะม่วงสองต้น ตั้งแต่ปี 2551 แล้ว และ 4 คนในจำนวนนี้จบชั้น ป.6 ไปแล้ว จึงเหลือนักเรียนอีก 10 คน โดยยังไม่ชัดเจนว่าจะมีนักเรียนใหม่เข้าเรียนในปีการศึกษาหน้าหรือไม่
นางบุญมา เอี้ยวน้อย อายุ 55 ปี ผู้ปกครองนักเรียนที่นำลูกมาเล่นเครื่องเล่นในโรงเรียนที่อยู่ในสภาพเงียบเหงาเนื่องจากยังปิดภาคเรียนบอกว่า ไม่อยากให้ทางการยุบโรงเรียนในตำบลทิ้งไป ควรที่จะส่งเสริมให้มีคุณภาพมากกว่า หากยุบทิ้งไปนักเรียนที่ด้อยโอกาสในตำบลจะไปเรียนที่ไหน หากไกลไปค่าใช้จ่ายการเดินทางจะลำบากมากยิ่งขึ้นโดยเฉพาะผู้ปกครองที่มีรายได้น้อย
ขณะที่ นางอรทัย มีชนะ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดมะม่วงสองต้น ระบุว่าโรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนดีประจำตำบล ชาวบ้านมีความรู้สึกรัก และผูกพัน ไม่เชื่อว่าจะสามารถยุบได้จริง เพราะก่อนหน้านี้โรงเรียนขนาดเล็กกว่านี้มากมีนักเรียนไม่ถึง 10 คนยังไม่สามารถยุบได้ และเชื่อว่าหากยุบจริงชาวบ้านคงไม่ยอม
ด้านนายสัมพันธ์ ทองสมัคร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้โพสต์เฟชบุ๊กส่วนตัว ถึงเรื่องนี้ว่า ได้ทราบข่าวว่ากระทรวงศึกษาธิการได้ยุบโรงเรียนขนาดเล็กจำนวนมากโดยมีเหตุผลเพื่อประหยัดงบประมาณ ผมมีความเห็นว่าไม่น่ายุบโรงเรียนเหล่านั้นเลย และปรับโครงสร้างใหม่เสีย ซึ่งสมัยที่ผมรับผิดชอบกระทรวงศึกษาธิการ เคยปรับยุทธศาสตร์วิทยาลัยเกษตรกรรม และวิทยาลัยพลศึกษา ซึ่งวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งเปิดสอนเฉพาะทาง มีนักเรียนแต่ละแห่งน้อยมาก บางแห่งครูมากกว่าเด็ก ผมได้ขอปรับเป็นวิทยาลัยชุมชนขึ้นมาอยู่ได้มาจนทุกวันนี้แต่ละแห่งนักศึกษาหลายพันคน
“ขณะนี้ผมได้ตั้งทีมงานขึ้นมาเพื่อปรับยุทธศาสตร์ทางการศึกษาในถิ่นทุรกันดารของสมเด็จพระเทพฯ เพื่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ทางการศึกษา และการพัฒนาสังคม บ้านเมือง และตอบรับกับการเข้าประชาคมอาเซียน โดยจัดตั้งเป็นวิทยาลัยท้องถิ่นในโรงเรียนขนาดเล็ก หรือโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน และมีเครือข่ายคลุมไปถึงโรงเรียนขนาดเล็กในพื้นที่ใกล้เคียง ให้ครูหมุนเวียนไปสอนในบางวิชาแทนการหมุนเด็กไปเรียนในโรงเรียนขนาดใหญ่ และยุบโรงเรียนขนาดเล็ก บรรดาครูจะสังกัดโรงเรียนเดิม หรือสังกัดวิทยาลัยท้องถิ่นก็ได้ และเปิดเรียนหลักสูตรระยะสั้น อบรมอาชีพด้านต่างๆ ให้ผู้ประกอบอาชีพแล้วด้วย”
ข้อความของนายสัมพันธ์ ยังมีต่อว่า “คือเป็นแหล่งความรู้ทุกวัยและทุกอาชีพ โครงสร้างพื้นฐาน ถนนหนทาง ได้รับการพัฒนาจากท้องถิ่น ไม่ว่าเป็น อบต. อบจ. หรือเทศบาล การให้ความรู้ในกลุ่มประเทศอาเซียน เราสามารถจ้างผู้มีความรู้มาให้ความรู้ได้ ครูลูกจ้างของบางโรงเรียนเดือนละ 4,200 บาท ก็สามารถเพิ่มได้ตามวุฒิ อาจจะมีการอบรม ขนบธรรมเนียม ประเพณีวัฒธรรมของความเป็นไทยอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ฯลฯ นี่โดยย่อ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายในโอกาสที่สมเด็จพระเทพฯ มีพระชนมายุ 60 พรรษา น่าเสียดายกระทรวงศึกษาธิการเร่งเรื่องนี้จนเกินไป น่าจะนำแนวทางดังกล่าวนี้ไปปรับปรุงได้ ชะลอไว้หน่อยไม่ได้หรือครับท่านรัฐมนตรี เพราะเพื่อไม่ให้เกิดปัญหากับสังคม หรือชุมชนที่โรงเรียนขนาดเล็กตั้งอยู่” เฟชบุ๊กของนายสัมพันธ์ระบุ