สุราษฎร์ธานี - ชาวสวนยางพาราใน จ.สุราษฎร์ธานี ผู้เสียหายจากการถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นบุกตัดโค่นต้นยางอายุกว่า 7 ปี รุดพบผู้ว่าราชการจังหวัด รอบ 2 หลังการช่วยเหลือไม่คืบหน้า แถมถูกเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ข่มขู่
เมื่อเวลา 08.30 น. วันนี้ (1 มี.ค.) นายสมบูรณ์ ทองพัฒน์ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมาย และนายมนตรี เพชรขุ้ม นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสุราษฎร์ธานี นำนายโสภณ ดีหนูอายุ 70 ปี อยู่บ้านเลขที่ 255 หมู่ที่ 17 บ้านสวนกล้วย ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎรธานี น.ส.ภัณฑิลา ดีหนู ลูกสาว ซึ่งเป็นชาวสวนยางพาราในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากการที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นบุกตัดต้นยางพาราที่มีอายุกว่า 7 ปี เสียหายกว่า 500 ต้น และรวมถึงพืชผลอาสินอื่นๆ ได้รับความเสียหายทั้งหมด โดยไม่ทราบสาเหตุ บนเนื้อที่ประมาณ 10 ไร่ เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.2555 ที่ผ่านมา พร้อมกับนำป้ายไปติดประกาศห้ามกระทำการใดๆ ในพื้นที่ดังกล่าว
พร้อมทั้ง นายสงัด แก้วเพ่ง ชาว ม. 10 ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งได้ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติใต้ร่มเย็นจำนวนหนึ่ง บุกเข้าตัดโค่นต้นยางพาราที่ปลูกบนเนื้อที่ 20 ไร่ บ้านหนอง 30 ม.10 ต.บ้านส้อง อายุต้นยางพารากว่า 20 ปี เสียหายไปกว่า 50 ต้น ทั้งที่ไม่เคยมีคดีความ เข้าพบ นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ที่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี
ทั้งนี้ เพื่อติดตามความคืบหน้าการช่วยเหลือให้ความเป็นธรรมจากกรณีดังกล่าว หลังจากเข้ายื่นเรื่องขอความเป็นธรรมทางจังหวัด เมื่อวันที่ 28 ม.ค.2556 จนมาวันนี้ครบ 1 เดือนแล้วแต่ยังไม่มีความคืบหน้า แถมยังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานฯ ในพื้นที่ข่มขู่ระบุว่า หากมีปัญหามากจะจับกุมดำเนินคดี และไม่ให้ผ่านเข้าออกในพื้นที่อุทยานฯ ทั้งที่บ้านพักอาศัยอยู่ในเขตอุทยานฯ ที่ประกาศทับ
หลังจากรับเรื่องร้องเรียนแล้ว ผู้ว่าราชการจังหวัดสุราษฎร์ธานี ได้มอบหมายให้นายวงศศิริ พรหมชนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัด เป็นประธานการสอบสวนข้อเท็จจริงและแก้ไขปัญหาให้ความเป็นธรรมแก่ผู้ร้อง พร้อมระบุว่า จะเร่งติดตามกระบวนการพิสูจน์สิทธิให้แล้วเสร็จโดยเร็ว หากพบว่าชาวบ้านรายใดเข้ามาอาศัยอยู่ก่อนการประกาศเขตอุทยานฯ ก่อนปี 2534 ก็มีสิทธิทำกินต่อไปได้ หากพบว่าเข้าอยู่หลังการประกาศถือว่าเป็นผู้บุกรุก
ด้าน นายวงศศิริ พรหมชนะ รองผู้ว่าราชการจังหวัด ได้เปิดเผยว่า ในวันที่ 7 มี.ค.นี้ ตนจะลงพื้นที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงเพื่อแก้ไขปัญหาอย่างถาวรต่อไป
