ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ชาวสวนยางร้องสื่อขอความเป็นธรรม หลังถูกเจ้าหน้าที่อุทยานใต้ร่มเย็นจังหวัดสุราษฎร์ธานี บุกตัดต้นยางพาราอายุกว่า 7 ปีทิ้ง เสียหายกว่า 500 ต้น ด้านผู้ใหญ่บ้านยันชาวบ้านอยู่อาศัยมากว่า 30 ปี แต่ถูกทางการประกาศทับพื้นที่ทั้งหมู่บ้าน ชาวบ้านกว่า 300 ครัวเรือนเดือดร้อนหนักวอนขอพื้นที่ทำกินคืน
นายโสภณ ดีหนู อายุ 70 ปี พร้อม น.ส.ภัณฑิลา ดีหนู อายุ 40 ปี ลูกสาว ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวนชน พร้อมพาสื่อเข้าดูพื้นที่สวนยางพาราที่ถูกตัดโค่น โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานใต้ร่มเย็น จ.สุราษฎร์ธานี จำนวนหนึ่งบุกเข้าตัดโค่นต้นยางพาราที่มีอายุกว่า 7 ปี จำนวนกว่า 500 ต้น เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่
ซึ่งนายโสภณ ระบุว่า ตนได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 17 บ้านสวนกล้วย ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี มาตั้งแต่ปี 2505 โดยมีที่ดินจำนวน 50 กว่าไร่ ทำการเพาะปลูกพืชผักผลไม้ ต่อมา ได้เปลี่ยนมาปลูกยางพาราแทน โดยมีหลักฐานการเสียภาษีให้แก่ท้องถิ่น (ทบ.5) มาตั้งแต่ปี 2530 ต่อมา ได้แบ่งพื้นที่ให้ลูกๆ ทั้ง 5 คน คนละ 10 ไร่ได้ทำกิน
ด้าน น.ส.ภัณฑิลา ได้กล่าวด้วยความเสียใจว่า พื้นที่สวนยางพาราดังกล่าวเป็นพื้นที่พ่อแบ่งให้ทำกินมาตั้งแต่ปี 2526 โดยตนได้เพาะปลูกผลไม้ และมะนาว แต่ไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาปลูกยางพารา และขนาดพอที่จะกรีดน้ำยางได้ ซึ่งตนตั้งใจจะทำการเปิดหน้ากรีดยางหลังปีใหม่ แต่ถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาตัดโค่นทิ้งโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่มีการบอกกล่าวทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวในอดีตไม่มีคดีความ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รู้ดีว่าพื้นที่สวนยางพาราเป็นของผู้ใด ตนได้พยายามติดต่อสอบถามที่สำนักงานอุทยานใต้ร่มเย็นถึงสาเหตุการเข้ามาตัดต้นยางพาราแต่ไม่เป็นผล และบอกว่าไม่รู้เรื่อง จึงมาร้องขอความเป็นธรรมจากสื่อ
ด้านนายสุทิน อินทร์คง อายุ 50 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 17 กล่าวว่า เมื่อปี 2534 อุทยานใต้ร่มเย็นได้ประกาศทับพื้นที่การเกษตรกว่า 5,000 ไร่ ในหมู่ที่ 17 ทั้งหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่มาประมาณ 50 ปี จำนวนกว่า 300 ครัวเรือน ประชากรจำนวนกว่า 1,000 คน ได้รับความเดือดร้อนหนัก ต้นยางพาราที่หมดคุณภาพ หรือมีอายุเกินกว่า 20 ปี ไม่สามารถตัดโค่นเพื่อทำการปลูกใหม่ทดแทนได้ หรือขอทุนจากทางการก็ไม่ได้
จึงขอเรียกร้องให้ทางการผ่อนปรนให้มีการตัดต้นยางพาราที่ไม่ได้คุณภาพเพื่อปลูกใหม่ทดแทนของเดิม และขอให้รัฐบาลเร่งประกาศคืนที่ดินให้แก่ชาวบ้านได้ทำกินต่อ เนื่องจากหากรัฐบาลนิ่งเฉยชาวบ้านทั้งหมดจะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องกดดันต่อไป
นายโสภณ ดีหนู อายุ 70 ปี พร้อม น.ส.ภัณฑิลา ดีหนู อายุ 40 ปี ลูกสาว ได้ร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อสื่อมวนชน พร้อมพาสื่อเข้าดูพื้นที่สวนยางพาราที่ถูกตัดโค่น โดยระบุว่า เมื่อวันที่ 21 ธันวาคมที่ผ่านมา ถูกเจ้าหน้าที่อุทยานใต้ร่มเย็น จ.สุราษฎร์ธานี จำนวนหนึ่งบุกเข้าตัดโค่นต้นยางพาราที่มีอายุกว่า 7 ปี จำนวนกว่า 500 ต้น เนื้อที่ประมาณ 10 ไร่
ซึ่งนายโสภณ ระบุว่า ตนได้เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่ หมู่ที่ 17 บ้านสวนกล้วย ต.บ้านส้อง อ.เวียงสระ จ.สุราษฎร์ธานี มาตั้งแต่ปี 2505 โดยมีที่ดินจำนวน 50 กว่าไร่ ทำการเพาะปลูกพืชผักผลไม้ ต่อมา ได้เปลี่ยนมาปลูกยางพาราแทน โดยมีหลักฐานการเสียภาษีให้แก่ท้องถิ่น (ทบ.5) มาตั้งแต่ปี 2530 ต่อมา ได้แบ่งพื้นที่ให้ลูกๆ ทั้ง 5 คน คนละ 10 ไร่ได้ทำกิน
ด้าน น.ส.ภัณฑิลา ได้กล่าวด้วยความเสียใจว่า พื้นที่สวนยางพาราดังกล่าวเป็นพื้นที่พ่อแบ่งให้ทำกินมาตั้งแต่ปี 2526 โดยตนได้เพาะปลูกผลไม้ และมะนาว แต่ไม่ได้ผลจึงเปลี่ยนมาปลูกยางพารา และขนาดพอที่จะกรีดน้ำยางได้ ซึ่งตนตั้งใจจะทำการเปิดหน้ากรีดยางหลังปีใหม่ แต่ถูกเจ้าหน้าที่เข้ามาตัดโค่นทิ้งโดยไม่ทราบสาเหตุ และไม่มีการบอกกล่าวทั้งที่พื้นที่ดังกล่าวในอดีตไม่มีคดีความ ซึ่งเจ้าหน้าที่ก็รู้ดีว่าพื้นที่สวนยางพาราเป็นของผู้ใด ตนได้พยายามติดต่อสอบถามที่สำนักงานอุทยานใต้ร่มเย็นถึงสาเหตุการเข้ามาตัดต้นยางพาราแต่ไม่เป็นผล และบอกว่าไม่รู้เรื่อง จึงมาร้องขอความเป็นธรรมจากสื่อ
ด้านนายสุทิน อินทร์คง อายุ 50 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 17 กล่าวว่า เมื่อปี 2534 อุทยานใต้ร่มเย็นได้ประกาศทับพื้นที่การเกษตรกว่า 5,000 ไร่ ในหมู่ที่ 17 ทั้งหมู่บ้าน ทำให้ชาวบ้านที่อาศัยอยู่มาประมาณ 50 ปี จำนวนกว่า 300 ครัวเรือน ประชากรจำนวนกว่า 1,000 คน ได้รับความเดือดร้อนหนัก ต้นยางพาราที่หมดคุณภาพ หรือมีอายุเกินกว่า 20 ปี ไม่สามารถตัดโค่นเพื่อทำการปลูกใหม่ทดแทนได้ หรือขอทุนจากทางการก็ไม่ได้
จึงขอเรียกร้องให้ทางการผ่อนปรนให้มีการตัดต้นยางพาราที่ไม่ได้คุณภาพเพื่อปลูกใหม่ทดแทนของเดิม และขอให้รัฐบาลเร่งประกาศคืนที่ดินให้แก่ชาวบ้านได้ทำกินต่อ เนื่องจากหากรัฐบาลนิ่งเฉยชาวบ้านทั้งหมดจะออกมาเคลื่อนไหวเรียกร้องกดดันต่อไป
