xs
xsm
sm
md
lg

ยังไม่มี “ข่าวดี” บนแผ่นดินปลายด้ามขวาน / ไชยยงค์ มณีพิลึก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เหตุกาณณ์ชาวนาจาก จ.สิงห์บุรี ที่มาช่วยพลิกฟื้นผืนนาร้างที่ จ.ปัตตานี ถูกยิงเสียชีวิต
 
คอลัมน์ : จุดคบไฟใต้
โดย...ไชยยงค์ มณีพิลึก
 
สถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ยังคงเดินหน้าต่อไปตามปกติ ที่ว่าปกตินั้นคือ ยังดำรงความรุนแรง ความโหดร้าย ที่เกิดจากฝีมือของ “แนวร่วม” ขบวนการแบ่งแยกดิน และบางเหตุการณ์อาจจะไม่ได้เกิดจากการสั่งการของ “แกนนำ” แต่เป็นการบงการหรือการจ้างวานของ “คนที่สูญเสียประโยชน์” และ “คนที่ต้องการผลประโยชน์” จากสถานการณ์ความไม่สงบให้ “แนวร่วม” ก่อเหตุร้าย
 
ล่าสุดการฆ่ารายวันที่คนร้ายกระทำต่อเกษตรกรที่ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศอ.บต.) เชิญเข้าร่มโครงการทำนา 1 ไร่ 1 แสน เพื่อพลิกฟื้นพื้นที่นาร้าง จนมีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 ราย และบาดเจ็บอีก 3 ราย เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ ต.บาโรย อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนอกจากเป็นเรื่องสะเทือนขวัญแล้ว ยังเป็นสิ่งที่สะเทือนใจของคนในพื้นที่เป็นอย่างยิ่ง
 
และเหตุการณ์รุนแรงที่ติดตามมาหลังความสูญเสียของเกษตรกรจาก จ.สิงห์บุรีคือ การที่คนร้ายบุกเข้าจับตัวพ่อค้ารับซื้อลองกองจาก จ.ระยอง ที่เข้าไปพักในขนำในพื้นที่ ต.กรงปีนัง อ.กรงปีนัง จ.ยะลา เพื่อรับซื้อลองกองจากเกษตรกรเจ้าของสวนลองกองในพื้นที่
 
มีพ่อค้าถูกจับตัวไป 4 คน และทั้ง 4 คนถูกมัดมือมัดเท้า แล้วจ่อยิงอย่างโหดเหี้ยม เสียชีวิตทั้งหมด และแน่นอนว่าผลพวงที่ตามมาไม่ใช่เป็นแค่ความสูญเสียของครอบครัวพ่อค้ารับซื้อลองกองจากต่างพื้นที่เพียงอย่างเดียว แต่เป็นการสูญเสียโอกาสของเกษตรกรชาวสวนลองกองใน อ.กรงปีนังและอำเภอใกล้เคียงของ จ.ยะลา เพราะคงไม่มีพ่อค้าคนไหนกล้าเข้าไปรับซื้อผลผลิตของเกษตรในพื้นที่ดังกล่าวอีกต่อไป
 
ต้องรับว่าโครงการทำนาโดยการฟื้นฟูนาร้างที่มีอยู่จำนวนมากใน อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของ ศอ.บต.เป็น “ข่าวดี” และการที่มีพ่อค้าจากต่างพื้นที่เดินทางมารับซื้อผลผลิตของเกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นลองกอง ทุเรียน หรือผลไม้ชนิดอื่นๆ ก็เป็น “ข่าวดี”
 
โดยเฉพาะปีนี้ผลผลิตทางการเกษตรให้ผลแยะมาก โดยเฉพาะลองกองนั้นในหลายพื้นที่ขายกันเพียงกิโลกรัมละ 5 บาทเท่านั้น และเจ้าของสวนหลายแห่งทิ้งลองกองให้เน่าคาต้น เนื่องจากค้าจ้างเก็บผลผลิตไปสู่ตลาดไม่คุ้มทุน เพราะถูกกดราคาโดยพ่อค้าคนกลาง
 
แต่สุดท้ายเมื่อเกิดเหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์ขึ้นทั้ง 2 กรณี เท่ากับไม่มี “ข่าวดี” ที่ปลายด้ามขวาน เนื่องจากมี “ข่าวร้าย” ถูกสร้างขึ้นมาทดแทน ได้ทำให้ประชาชนในพื้นที่เสียโอกาสในการที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น โดยเฉพาะโครงการฟื้นฟูนาร้างให้เป็นนาข้าวและให้เป็นสวนปาล์ม เป็นสิ่งที่ดีและมีประโยชน์ ทั้งในการด้านการพัฒนาจังหวัด และการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่
 

ชาวนาจาก จ.สิงห์บุรี ที่รอดชีวิตมาได้ แต่ก็ต้องนอนรักษาตัวจากบาดเจ็บสาหัส
 
ใครคือผู้อยู่เบื้องหลังในการก่อเหตุด้วยความรุนแรง และด้วยความโหดเหี้ยมทั้ง 2 เหตุการณ์ ซึ่งแน่นอนว่าในการสอบสวนเบื้องต้นของเจ้าหน้าที่พบว่า ผู้ลงมือก่อเหตุคือ “แนวร่วม” ในพื้นที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี และ “แนวร่วม” ในพื้นที่ อ.กรงปีนัง จ.ยะลา
 
โดยมีเหตุผลรองรับว่า การกระทำทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นเพราะ “แกนนำ” ขบวนการแบ่งแยกดินแดนต้องการ ขัดขวางกระพัฒนาพื้นที่ การพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะหากปล่อยให้ ศอ.บต.และ กอ.รมน.สามารถพัฒนาพื้นที่ หรือติดอาวุธทางปัญญาให้กับคนในพื้นที่ได้เมื่อไหร่ พื้นที่เคลื่อนไหวของขบวนการจะหดแคบลง งานด้านมวลชน หรืองานด้านการเมืองของขบวนการจะถูกกระทบกระเทือนอย่างหนัก
 
ดังนั้น ขบวนการจึงต้องขัดขวางทุกวิถีทาง เพื่อให้หน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็น ศอ.บต. หรือ กอ.รมน. เดินหน้างานพัฒนาพื้นที่และพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่ไม่ได้ แม่ว่าวิธีการที่ “แนวร่วม” นำมาใช้จะเป็นการทำลายมวลชนก็ตาม แต่ขบวนการแบ่งแยกดินแดนไม่ได้ให้ความสนใจในเรื่องเหล่านี้ เพราะขบวนการต้องการสร้างความหวาดกลัว เพื่อใช้ควบคุมมวลชน
 
นั่นคือ การมองใน “มิติ” ที่เหตุการณ์ทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการกระทำของขบวนการแบ่งแยกดินแดนแดน
 
ทว่า มีการมองทั้ง 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอีกมิติหนึ่ง นั้นคือ การขัดผลประโยชน์ในพื้นที่ ทั้งในเรื่องการฟื้นที่นาร้างของ ศอ.บต.ที่นำเกษตรกรจาก จ.สิงห์บุรีมาเป็นครูสอนการทำนาให้ได้ 1 ไร่ 1 แสนให้กับเกษตรกรที่ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ซึ่งอาจจะเป็นการขัดผลประโยชน์ของคนบางกลุ่ม หรือบางหน่วยงานที่มีการ “ทับซ้อน” กันอยู่ จึงอาจจะเป็นได้ที่มีคนบางกลุ่ม บางพวก หรือบางหน่วยงานบงการให้คนร้ายเป็นผู้ก่อเหตุ เพื่อให้โครงการดังกล่าวหยุดชะงัก หรือยุติโครงการ
 
เช่นเดียวกับการฆ่าโหดพ่อค้ารับซื้อลองกองจากต่างถิ่น ซึ่งรู้กันอยู่ว่าในการเดินทางมารับซื้อผลผลิตทางการเกษตรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ล้วนมากผลประโยชน์ “ทับซ้อน” อยู่ระหว่างคนในพื้นที่ ระหว่างพ่อค้าคนกลางในพื้นที่ และระหว่าง “นายหน้า” ที่เป็น “เหลือบ” สูบเลือดเกษตรกร เพื่อกดราคารับซื้อในราคาถูกๆ ตามที่ต้องการ
 
ไม่ว่าจะเป็นกรณีไหน ผู้ลงมือคือ “แนวร่วม” ในพื้นที่ เพียงแต่เป็นการก่อเหตุ “ตามคำสั่ง” แกนนำขบวนการแบ่งแยกดินแดน หรือเป็นการ “รับจ้าง” บุคคลใด หรือหน่วยงานไหน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องการสืบสวนสอบสวนหาสาเหตุให้ชัดเจน ก่อนที่จะมีการสรุปว่าเป็นการกระทำของใคร
 

เหตุการณ์สังหารโหดพ่อค้าจาก จ.ระยอง ที่เข้าไปรับซื้อรับลองกองที่ จ.ยะลา
 
มีสิ่งหนึ่งที่ต้องกล่าวถึงคือ เรื่องของการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ที่ยังหละหลวม ยังมีช่องว่าง ช่องโหว่ เช่น การรักษาความปลอดภัยคณะเกษตรกรที่มาสอนการนำนาที่ต้องจบชีวิตอย่างง่ายๆ ทั้งที่พวกเขามาจากต่างถิ่น และมาทำประโยชน์ให้กับคนในพื้นที่ แต่ทำไม่การ รปภ.จึงหละหลวม
 
หรือเรื่องของพ่อค้ารับซื้อลองกอง ที่ในทุกปีจะมีพ่อค้าต่างถิ่นตกเป็นเหยื่อสถานการณ์มาโดยตลอด ไม่ใช่เพิ่งจะเกิดขึ้นกับพ่อค้าทั้ง 4 รายเป็นครั้งแรก แต่ทำไม จึงไม่มีการ รปภ.กลุ่มคนที่เป็นพ่อค้าที่มาจากต่างถิ่น ตรงนี้ต้องมีคำตอบว่า อะไรเกิดขึ้นกับระบบการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
 
สุดท้าย ถ้าทั้ง 2 เหตุการณ์เป็นการกระทำของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” จริง ซึ่งเจ้าหน้าที่หลายฝ่าย โดยเฉพาะ กอ.รมน.ที่มักจะกล่าวว่า ยิ่ง “แนวร่วม” เข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์มากเท่าไหร่ มวลชนจะเกลียดชังขบวนการมากขึ้นเท่านั้น และเมื่อมวลชนไม่เอาด้วยกับวิธีการของขบวนการ ชัยชนะจะเป็นของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น
 
ขอบอกว่า วิธีการที่ “ขวนการบีอาร์เอ็น โคออร์ดิเนต” ใช้ความรุนแรงเพื่อสร้างความหวาดกลัวในการควบคุมประชาชน อาจจะทำให้ประชาชน “เกลียด” แกนนำและแนวร่วมของขบวนการก็จริง แต่หน่วยงานของรัฐ โดยเฉพาะ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า” ต้องแสดงฝีมือในการป้องกันชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนให้เป็นผลสำเร็จด้วย
 
ไม่ใช่ปล่อยให้แนวร่วมเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์ทุกวันๆ ละหลายๆ ศพ เพื่อหวังผลให้ประชาชน “เกลียด” และไม่เอาด้วยกับแนวร่วมเพียงอย่างเดียว
 
เนื่องเพราะถึงแม้ประชาชนจะ “เกลียด” ขบวนการแบ่งแยกดินแดน แต่เมื่อเจ้าหน้าที่ไร้ประสิทธิภาพในการ คุ้มครองชีวิตและทรัพย์สินของผู้บริสุทธิ์ นั่นก็ไม่ได้ทำให้ประชาชนร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเจ้าหน้าที่รัฐคุ้มครองเขาไม่ได้
 
และที่สำคัญประชาชน “เกลียด” ขบวนการก็จริง แต่นอกจากคำว่า “เกลียด” แล้ว ประชาชนมีคำว่า “กลัว” อยู่ด้วย ดังนั้น ประชาชนส่วนหนึ่งที่ “เกลียด” ขบวนการ จึงไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐ เพราะเขายัง “กลัว” อันตรายจากขบวนการ
 
เหตุการณ์สังหารโหดพ่อค้าจาก จ.ระยอง ที่เข้าไปรับซื้อรับลองกองที่ จ.ยะลา
 
ดังนั้นถ้า หน่วยงานของรัฐต้องการแสวงหาความร่วมมือจากประชาชนในพื้นที่ สิ่งแรกที่ต้องทำให้เห็นคือ การรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนที่ต้องได้ผล เช่นการลดการเกิดขึ้นของเหตุการณ์ร้าย การลดความสูญเสียของประชาชน
 
ถ้าหน่วยงานของรัฐยังปกป้องประชาชนไม่ได้ และคิดหวังเพียงอย่างเดียวว่ายิ่ง “แนวร่วม” ใช้วิธีการรุนแรงโหดร้ายมากเท่าไหร่ ชัยชนะจะเป็นของรัฐมากเท่านั้น น่ากลัวว่าสุดท้ายแล้วแผ่นดิน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก็จะกลายเป็น “โนแมนแลนด์” หรือคือแผ่นดินที่ว่างเปล่าในอนาคตนั่นเอง.
 

 
 

กำลังโหลดความคิดเห็น