คอลัมน์ : แกะสะเก็ด
โดย...ประเสริฐ เฟื่องฟู
ก็ต้องย้อนอดีตกัน การท่องเที่ยวนั้นมีมาแต่โบราณ ธรรมชาติของมนุษย์ และสัตว์โลกส่วนใหญ่ล้วนชอบย้ายถิ่นหากิน ย้ายถิ่นเพื่อท่องเที่ยวไปตามฤดูกาล เป็นข้อมูลที่มีผู้ศึกษา และค้นคว้าได้บันทึกไว้ให้มนุษย์ยุคปัจจุบันรู้กัน
การย้ายถิ่นทำมาหากิน เข้าจับจองพื้นที่หักล้างถางป่า สร้างที่พัก ทำไร่เลื่อนลอย ทำปศุสัตว์ เลี้ยงวัวควาย ขุดหาทรัพยากรมีค่า หรือการทำเหมืองแร่ต่างๆ แม้กระทั่งสร้างหมู่บ้าน ชุมชน หรือสร้างเมือง เป็นการบุกรุกป่าทำลายทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น
การครอบครองที่ดินแต่ก่อนไม่มีปัญหา ใครขยันก็ทำไปรุกไป มือใครยาวสาวได้สาวเอา ถ้าจะมีปัญหาก็เป็นเรื่องแย่งทำเลที่อุดมสมบูรณ์ จนรัฐต้องออกหนังสือเป็นโฉนดตราจองให้แก่ผู้ที่ครอบครองทำประโยชน์ อันนี้น่าจะเป็นช่วงก่อนสงครามโลกครั้งที่สอง ประมาณปี 2480 (เคยเห็นตราจองของปู่)
ถ้าจำผิด ก็ขอผู้รู้ทักท้วงด้วย เพื่อเป็นวิทยาทาน จะเป็นพระคุณอย่างสูง
ครั้นเมื่อประกาศใช้กฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ก็ได้ยกเลิกหนังสือตราจอง มีหน่วยงานรับผิดชอบ มีเจ้าหน้าที่คอยดูแลควบคุม แต่ผืนป่าธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมยังถูกรุกรานทำลายมากเข้า มลพิษมีมากขึ้น ก็เกิดมีกลุ่มอนุรักษ์ หรือเอ็นจีโอ เข้ามาสอดแทรกเป็นยาขม ทำการคัดค้านไปทุกเรื่อง เพื่อรักษาธรรมชาติไว้ เป็นตัวรั้งความเจริญ การเติบโตนอกลู่นอกทางก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่
แต่การบุกรุกเข้าครอบครองที่สาธารณะ ไม่แยแสกฎหมายบ้านเมือง กลับทวีความรุนแรงมากขึ้น เพราะความเจริญเติบโตของบ้านเมือง มีการลงทุนเพื่อประกอบธุรกิจ พบบางรายเจ้าหน้าที่ให้ความร่วมมืออำนวยความสะดวกให้เสียด้วยซ้ำ เพราะมีสินจ้างรางวัล ตลอดจนการเลี้ยงดูปูเสื่ออย่างอิ่มหมีพีมัน
การท่องเที่ยวของประเทศไทย เริ่มเป็นรูปธรรมขึ้นในยุคที่ จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เป็นนายกรัฐมนตรี มีการตั้ง “องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย” ใช้ชื่อย่อว่า อ.ส.ท. ขึ้นอย่างเป็นทางการ เป็นหน่วยงานอิสระ ที่ขึ้นตรงกับสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2502 โดยมี พล.ท.เฉลิมชัย จารุวัสตร์ เป็นผู้อำนวยการ อ.ส.ท. คนแรก
มีหน้าที่ทำงานตามชื่อขององค์กรคือ “ส่งเสริมการท่องเที่ยว” โฆษณาประเทศไทยให้ต่างชาติรู้จัก รวมทั้งค้นหาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวออกขาย แนะนำเชิญชวนให้คนเข้าไปเที่ยว เป็นงานหลัก ทำกันอย่างจริงจัง
นั่นเป็นการเริ่มต้นของธุรกิจท่องเที่ยวในบ้านเมืองเรา ที่เริ่มต้นด้วยการขายทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ ปูชนียสถานที่บรรพบุรุษสร้างไว้ ช่วงเริ่มต้นที่ยังไม่บูม ก็ดูไม่นักหนาสาหัส สิ่งแวดล้อมยังไม่ถูกทำลาย ไม่บอบช้ำ นักลงทุนก็ยังไม่มากเหมือนปัจจุบัน
การท่องเที่ยวในบ้านเราส่วนใหญ่เป็นแบบ “ไทยเที่ยวไทย” อ.ส.ท.ก็สนับสนุนให้มีการเที่ยวพักผ่อนกันในวันหยุดสุดสัปดาห์ ไปเป็นครอบครัว หรือไปกันเป็นหมู่เป็นคณะในช่วงเทศกาลมีการจัดขายทัวร์นำเที่ยว โดยเช่ารถบัส รถโดยสารประจำทางไปต่างจังหวัด หรือข้ามภาค จากภาคใต้ไปภาคเหนือ ภาคอีสาน ตะวันออก หรือตะวันตก
เทศกาลออกพรรษาก็จัดเป็นทัวร์งานบุญ ทัวร์กฐิน ทัวร์ผ้าป่า ที่เรียกกันว่า “ฉิ่งฉาบทัวร์” เหมารถบัสกันไปสองคันสามคัน ขนเอาพวกตะโพน กลองยาว ที่ขาดไม่ได้ก็ต้องมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ติดไปด้วย เพิ่มความสนุกสนานคึกคัก ช่วยให้การตีตะโพน กลองยาว ทั้งฉิ่งทั้งฉาบ พร้อมแหกปากตะโกนเพลงมีรสชาติขึ้น จนฟังไม่ได้ศัพท์
ซดกันเองไม่พอ ยังต้องยัดเยียดให้โชเฟอร์คนขับรถซดไปด้วย แล้วยุให้ซิ่งให้ แซงกันไป ท่ามกลางเสียงเชียร์ของบรรดาลูกทัวร์คอสุรา สุดสนุก
“แซงไปเลยลูกพี่ ปาดหน้าไปเล้ย น้าน .....มันต้องหยั่งงั้น”
ผลสุดท้าย ฉิ่งฉาบทัวร์ งานกฐิน งานผ้าป่า อย่างนี้ก็ไปถึงวัดจริงๆ ไปรอขึ้นเมรุ บางคนก็ได้ไปนอนพัก รับน้ำเกลือ ให้หมอเย็บแผล ดามกระดูกที่โรงพยาบาลแทน
เสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน บางรายพิการไปตลอดชาติ
ส่วนท่องเที่ยวอีกกลุ่มหนึ่ง ที่เป็นการไปแบบครอบครัวในวันหยุดสุดสัปดาห์ ตัวอย่างถ้าอยู่ในกรุงเทพฯ อยากเที่ยวทะเลใกล้ที่สุดก็ขับรถไปถนนสายสุขุมวิท ผ่านปากน้ำไปบางปู ดูนกนางนวล ดูทะเลโคลน ปลาตีน ปูแสม ปูเปี้ยวเข้ารูนี้โผล่รูโน้น
หากอยากเล่นน้ำทะเล ก็ไปไกลอีกหน่อยแถวบางแสน พัทยา จังหวัดชลบุรี ระยะทางประมาณร้อยกว่าถึงสองร้อยกิโลเมตร หรือถ้าจะล่องลงทางใต้ ไปตามถนนเพชรเกษม ต้องออกเช้าแดดไม่ร้อน ขับรถชมท้องทุ่งนาที่แซมด้วยต้นตาลสูงชะลูดเป็นหย่อมๆ สองข้างทาง กว้างไกลสุดกู่ ถ้าข้าวกล้าเพิ่งหว่านดำก็เขียวชอุ่ม ถ้าจะดูทุ่งรวงทองก็ต้องก่อนเก็บเกี่ยวช่วงปีใหม่ หรือหลังปีใหม่นิดๆ เป็นข้าวนาปี (แต่ก่อนยังไม่ได้พัฒนาส่งเสริมให้ปลูกข้าวนาปรัง หรือข้าวหน้าแล้ง) มีวัวควายยืนเล็มหญ้า บ้างนอนปลักอยู่สองข้างทาง ตั้งแต่ราชบุรีระเรื่อยไปถึงเพชรบุรี ระยะทางก็ร้อยกว่าสองร้อยกิโลเมตรเหมือนกัน
พอถึงเพชรบุรีก็มีโบราณสถานให้ดูอีก ทั้งเขาวัง วัดมหาธาตุวรมหาวิหาร สัญลักษณ์พระปรางค์ 5 ยอด พระราชวังมฤคทายวัน แล้วก็มีทะเลงามยามเย็นให้ชมที่ชะอำ และหาดเจ้าสำราญ หรือไม่ก็เลยไปอีกเป็นหัวหิน ประจวบฯ มีหาดทรายขาวให้ย่ำเล่น ทุกหาดไม่มีเก้าอี้ เตียงผ้าใบ หรือร่มกางให้เกะกะรกหูรกตา บรรยากาศล้วนไร้มลพิษ
ถ้าไม่อยากไปทะเล จากกรุงเทพฯ ก็ล่องเรือเอื่อยๆ ไปทางคลองแสนแสบ หรือขับรถขึ้นเหนือไปทางถนนพหลโยธิน บรรยากาศสองข้างทางมีท้องทุ่งนากว้างใหญ่ไพศาล ทั้งวัวควายให้ชื่นชม ไม่ต่างจากล่องใต้ เที่ยวใกล้ๆ ก็บางปะอิน อยุธยา ดูแม่น้ำลำคลอง ชมโบราณสถานที่บรรพบุรุษสร้างไว้ แล้วก็ดูสภาพปรักหักพัง ร่องรอยที่ไอ้พวกพม่าจัญไรสมัยประวัติศาสตร์ยกทัพเข้ามาเผาผลาญจนยับเยิน
แต่ถ้าไม่อยากดูโบราณสถานที่ถูกทำลายให้หดหู่ ก็ไปทางตะวันตก ชมน้ำตกไทรโยค กาญจนบุรี ถ้าใกล้กรุงเทพฯ แค่เอื้อมสมัยนั้น น่าจะเป็นนนทบุรีเที่ยวชมสวน ดูความร่มรื่น ชิมผลไม้หลากหลาย
ที่เล่ามาเป็นตำนานท่องเที่ยวในยุคที่ปราศจากมลพิษ มีแต่บรรยากาศบริสุทธิ์ “สุดเวอร์จิ้น” สองข้างทางไม่มีหมู่บ้านจัดสรร ไม่มีป่าคอนกรีต หรือตึกสูงเหมือนแท่งคอนกรีตทรงสี่เหลี่ยมกลักไม้ขีดไฟ ไม่มีคอนโดฯ โรงแรมสิบกว่าชั้น และหรือโรงงานสารพัดโผล่มาบดบังทัศนียภาพให้รกตา
แต่สถานที่ท่องเที่ยวเหล่านนั้น ขณะนั้นก็ใช่ว่าจะไร้ปัญหา ทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ทุกเทศกาล เจ้าของสถานที่ แหล่งท่องเที่ยวมีปัญหาต้องจัดการกับขยะที่เป็นขวดเหล้าขวดเบียร์ เศษอาหารที่นักท่องเที่ยวนำไปกินไปรับประทานทิ้งไว้ พออิ่มหมีพีมันเสร็จสรรพ เมาได้ที่ก็สะบัดก้นลุกขึ้นพากันกลับ
หนำซ้ำ ยังมีไอ้ขี้เมาอัปรีย์บางคน พอน้ำเปลี่ยนนิสัยไหลเข้าคอ ลงกระเพาะ ก็ขว้างขวดเขวี้ยงแก้วลงทะเล หรือโยนทิ้งเกลื่อนหาด ส่วนตามน้ำตกก็ไม่ต่างกัน มีเศษขวดแก้วแตกให้เกลื่อน ถ้าเดินเท้าเปล่าไม่ระวัง มีโอกาสได้เลือด ไปให้หมอทำแผลแทนการเล่นน้ำตก หมดสนุก
ไม่มีใครโวยวายให้เป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา ไม่มีหน่วยงานรับผิดชอบ จะมีก็ อ.ส.ท.นั่นแหละแต่ก็ไม่มีใครสนใจ อย่างดีก็แค่ด่าลอยๆ พอให้หายคันปาก
นี่เป็นเรื่องของ “ไทยเที่ยวไทย” ฝรั่งต่างชาติที่เข้ามาเที่ยวไทยยังมีน้อย ส่วนใหญ่เป็นแขกรับเชิญ หรือแขกวีไอพี ของหน่วยงานต่างๆ หรือเป็นนักธุรกิจเสียส่วนใหญ่ จะมาเป็นกรุ๊ปทัวร์นั้นน้อยนัก แทบไม่เห็นเลย
ไม่ต้องไปพูดถึงคนไทยที่ไปทัวร์นอก บินไปชอปปิ้งฮ่องกง เข้าบ่อนกาสิโนมาเก๊า ข้ามทวีปข้ามซีกโลกไปผลาญเงินไทยของกลุ่มเห่อของนอก ไปต่างประเทศ มีเสียงเล่าขานมาเข้าหูเหมือนกันว่า บางรายไปเจอดี ถูกหลอกแสบกลับมา แต่ไม่โวย และไม่รู้จะไปโวยกับใคร อีกอย่างก็คงจะอายด้วย
การประกอบธุรกิจท่องเที่ยวเริ่มจะเป็นล่ำเป็นสัน มีนักท่องเที่ยวต่างประเทศเดินทางเข้ามาในประเทศไทยนั้น อยู่ในยุคของ “จอมพลถนอม กิตติขจร-พล.อ.ประภาส จารุเสถียร” ครองเมือง เป็นรัฐบาลทหารเผด็จการรับช่วงต่อจากจอมพลสฤษดิ์ ภายหลังถูกนิสิตนักศึกษารวมพลังกันโค่นอำนาจแล้ว ถูกประณามว่าเป็น “ทรราช” เมื่อปี 2516 แต่สมัยนั้นไม่มีการเสนอถอดยศแต่ประการใด
ส่วนใหญ่นำเที่ยวชมตามวัดวาอารามในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อย่างเช่น วัดพระศรีรัตนศาสดาราม หรือวัดพระแก้ว วัดพระเชตุพนฯ หรือวัดโพธิ์ แล้วก็วัดอรุณ หรือวัดแจ้ง คลองบางกอกใหญ่ ฝั่งธนบุรี หรือไม่ก็พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ข้างสนามหลวง และตลาดน้ำเหล่าตั๊กลัก ปาคลองลัดพลี ตลาดน้ำดำเนินสะดวก เป็นต้น หรือไปอยุธยา ชายทะเลก็พัทยา ถ้านักท่องเที่ยววีไอพี มีระดับน่าจะเป็นเกาะล้าน หรือหัวหิน ที่มีโรงแรมรถไฟรองรับ
แต่ที่สาหัส สังคมไทยเริ่มเน่าเฟะ และพินาศนั้นเป็นช่วงที่รัฐบาลยินยอมให้ทหารจีไอ เข้ามาใช้ไทยเป็นฐานทัพอากาศ ประมาณปี 2508 ทั้งที่โคราช อุดร อุบล ตาคลี อู่ตะเภา ไปทิ้งบอมบ์เวียดนามนั่นแหละ ทหารต่างชาติพันธมิตรเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นอเมริกันหัวแดง หรือนิโกรตัวดำ หัวดำ ล่ำบึ้ก
ตามจังหวัด หรือรอบปริมณฑล แหล่งบันเทิง ผับบาร์ อะโกโก้ โคโยตี้รูดเสา แหล่งโลกีย์ ขายเซ็กซ์ เกิดขึ้นเป็นดอกเห็ด รองรับทหารจีไอเหล่านี้ แม้กระทั่งในกรุงเทพฯ ย่านถนนเพชรบุรีตัดใหม่ ทั้งอาบอบนวด เปิดกันเกร่อแบบเสรี เป็นที่มั่วสุมของไอ้พวกแยงกี้ ทหารจีไอหัวเกรียนเดินหนีบขวดเหล้ากอดสาวไทยที่นุ่งน้อยห่มน้อย หรือนุ่งกางเกงฟิตเปรี๊ยะ ไม่ก็กระโปรงสั้นจู๋ ออกผับนี้เข้าผับโน้น
บ้างก็ยืนกอดจูบ ล้วงควักขยี้ขยำอยู่ริมถนนหน้าผับ ไม่ต้องแคร์สายตาใคร ทำยังกับแผ่นดินนี้ ประเทศนี้เป็นของมัน เมืองขึ้นมัน มีเรื่องมีปัญหา ตำรวจไทยก็ได้แค่ยืนมองตาปริบๆ รอ สห.ของพวกมันมาจัดการกันเอง
ช่วงนี้สาวอีสานต่างทิ้งไร่ทิ้งนา ทิ้งลูกทิ้งผัว มาหากินตามแหล่งบันเทิง ยึดอาชีพขายที่นาผืนน้อย รับจ้างเป็น “เมียเช่า” ทหารจีไอ สื่อสารกันด้วยภาษามือเป็นหลัก อยู่ไปนานเข้าก็พอรู้ภาษากันงูๆ ปลาๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องไปกินไปนอน ทำธุรกรรมใต้สะดือ แล้วแต่จะตกลงราคากัน ชั่วคราว รายวัน หรือรายเดือน
ตอนนี้แหละ ที่ทำให้ “พัทยา” ดังเป็นพลุแตก เพราะเรือรบ เรือบรรทุกเครื่องบินของกองทัพสหรัฐฯ และพันธมิตรสารพัดชาติลำมหึมาต่างพากันมาแวะปล่อยทหารที่กลับจากการรบขึ้นมาพักผ่อนเที่ยวกัน วิธีเที่ยว หรือการเที่ยวของทหารเดนตายคงไม่ต้องพรรณนาว่ามันถึงพริกถึงขิงกันแค่ไหน ช่วงนั้นบรรดาสาวบริการ โสเภณีทุกระดับทะลักเข้าพัทยาโกยดอลลาร์เต็มไปหมด
สำหรับนายทหารนั้น ก็เข้ายึดเกาะช้างเป็นที่พักผ่อนระดับวีไอพี บรรดาสาวบริการก็เป็นชั้นดีเลิศที่คัดสรรแล้ว พูดภาษาต่างประเทศได้ ไม่ต้องใช้ภาษามือ
เงินดอลลาร์สหรัฐปลิวว่อน สะพัดเป็นร้อยล้านพันล้าน ไม่รู้มีหน่วยงานไหนประเมินไว้บ้าง แต่ใช้แทนเงินบาทได้ อัตราแลกเปลี่ยนช่วงนั้น ประมาณปี 2509 ก่อนหลังก็เล็กน้อย หนึ่งดอลลาร์แลกเงินไทยได้ประมาณ 18-21 บาท หรือกว่านั้นก็ไม่เกิน 23 บาท ค่าเงินไทยยุคนั้นต่างกับยุคนี้ราวฟ้ากับดิน
เล่ากันว่า ในกรุงเทพฯ และปริมณฑลถึงกับขาดแคลนสาวบริการ จริงเท็จก็หาข้อมูลเอาเอง
ผู้ประกอบการ หรือเจ้าของธุรกิจสถานบริการ รวมทั้งคนจัดหา เรียกง่ายๆ ก็พ่อเล้านั่นแหละ ล้วนมีเอี่ยวกับนายทหารไทยหน่วยเฉพาะกิจ (มีชื่อเรียกแต่จำชื่อหน่วยงานไม่ได้แล้ว) ที่เป็นฝ่ายประสานงาน ต่างโกยดอลลาร์ร่ำรวยไปตามๆ กัน ตอนนี้ถ้ามีชีวิตอยู่อายุก็คงปาเข้าไป 80 ปีกว่าแล้วละ
หลังจากสหรัฐฯ แพ้สงครามเวียดนาม ชนิดหน้าแหกยับเยินหมอไม่รับเย็บ ถอนทัพกลับไป ปรากฏว่า ไอ้จีไอพวกนี้มันไข่ทิ้งไว้เพียบ ทั้งลูกครึ่งนิโกร หัวแดงหัวดำ เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมือง ปล่อยให้เป็นภาระของสังคมไทย
ตอนหลังทราบว่า ลูกครึ่งจีไอพวกนี้ได้ดิบได้ดี เป็นดารา นางแบบ หรือนางงาม เทพีไปหลายคน มาระยะหลังสังคมไทยเกิดฮิตลูกครึ่งต่างชาติขึ้นมาอีก สาวไทยหลายคนประกาศหาผัวฝรั่งผสมพันธุ์ หวังได้ลูกครึ่งมาประกวดเทพี นางงาม และดารา
กลุ่มนี้ก็จัดเป็นนักท่องเที่ยวยุคแรกที่ก่อปัญหาไว้มากมายให้ลุกลามบานปลายมาถึงปัจจุบัน โดยเฉพาะเอาวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาเผยแพร่ให้เยาวชนไทยเสียผู้เสียคน ทั้งเป็นต้นตอของอาชีพ “เมียเช่า” ให้ต่างชาติดูถูกดูแคลนมาจนทุกวันนี้
นี่... เป็นปัญหาภาพลักษณ์ของประเทศ และปัญหาการท่องเที่ยวไทยหรือไม่?