โดย..นักข่าวชายขอบ
เหลียวหลัง แลหน้าประเทศไทยในยุค 2555 หลายคนเห็นพ้องกันว่า แผ่นดินนี้กำลังจะฉิบหายวายป่วงด้วยน้ำมือนักการเมืองชั่วๆ โดยแท้ แม้ว่านักการเมืองน้ำดีจะอยู่แต่คงจะน้อยนิดจนทำอะไรไม่ได้กับความหื่นกระหายในอำนาจ และทรัพย์สินที่ครอบงำ ตามหลักคิดโครงสร้างแบบนามธรรมของประเทศนี้ จะประกอบไปด้วย สังคมการเมือง เศรษฐกิจ เป็นวงจรที่ต้องดูแลเกื้อหนุนซึ่งกันและกันซ้อนสมมติที่ว่ารัฐจะต้องประกอบไปด้วย พลเมือง ดินแดน รัฐบาล และอำนาจอธิปไตย
สังคมไทยในยุคนี้เต็มไปด้วยความอ่อนแอ เลวทรามต่ำช้าในทุกด้าน เริ่มตั้งแต่เด็กต้องผจญกับห่าแห่งความทันสมัยที่ถาโถมเข้ามา เริ่มเสียตัวอายุน้อยลงทุกวัน มั่วเพศ มั่วเซ็กซ์ ยาเสพติด ครอบครัวแตกแยก น้อยครอบครัวนักที่จะอยู่ในสถานะที่มั่นคงแข็งแรง ความเอื้ออาทรต่อกันในสังคมไทยเหมือนเมื่อหลายสิบปีก่อนหายไปสิ้น ยุคนี้มีแต่ความรีบเร่งเร่าร้อน เงินตรานำหน้า การศึกษาในระบบล้มเหลว โรงเรียนกวดวิชาเกิดขึ้นทุกหัวระแหง นักเรียนนักศึกษาบูชาทุน บูชาเงินตราที่ตอบสนองความต้องการ คลั่งวัตถุนิยม สินค้าแบรนด์ดัง ลืมรากลืมเหง้า ขาดความกตัญญู ไม่เคารพบรรพบุรุษ และอีกสารพัดที่เห็นได้ชัดมากขึ้นทุกวัน
การเมืองนับแต่ปี 2475 หลังจากการปฏิวัติยึดอำนาจจากพระมหากษัตริย์ของคณะราษฎรแล้ว หลายคนคลั่งไคล้ว่าสิ่งที่ได้มาคือ ระบอบประชาธิปไตย แต่แท้จริงแล้วประชาธิปไตยในวันนั้นเป็นแค่คราบไคลของประชาธิปไตยที่นักเรียนนอกกลุ่มหนึ่งไปได้มาจากต่างประเทศ และเห็นว่ามันเป็นคราบที่สวยงามควรนำมาละเลงไว้ในประเทศไทยให้สวยงามตามแบบอารยะ
มรดกที่ได้มาในวันนั้นจนถึงวันนี้ คือ ความเปลี่ยนแปลง แต่ประชาธิปไตยกระนั้นหรือยังอีกห่างไกลนักกว่าจะถึงตรงนั้น หลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ประเทศไทยได้ผู้ปกครองที่อยู่ในคราบประชาธิปไตยบ้าง หรือประชาธิปไตยแบบหัวทิ่มหัวตำ และมีเผด็จการทหารบ้าง และมาในยุคนี้มีความเปลี่ยนแปลงจากเผด็จการทหาร เดินเข้าสู่ยุคใหม่เป็นเผด็จการทุนนิยมสามานย์ กล่าวนัยหนึ่งคือ เผด็จการแบบกลุ่มทุนเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และมีอำนาจในการผูกขาดประเทศไทยแค่เพียงไม่กี่ครอบครัว ที่ขึ้นอยู่กับครอบครัวเดียว มีดีแค่ทุนหนัก ที่สำคัญแต่ละคนนั้นไม่มีใครที่จนทรัพย์สิน ทุกคนล้วนร่ำรวยจากการเป็นนักการเมืองทั้งสิน ยอมแม้กระทั่งยอมรับว่าเป็น “ขี้ข้าทักษิณ” อย่างหน้าชื่นตาบาน
การเมืองในทุกระดับนับตั้งแต่ อบต.ไปจนถึงนักการเมืองระดับชาติ ไม่มีใครปฏิเสธว่า 15-20 เปอร์เซ็นต์ไม่มีอยู่จริง ไม่มีใครปฏิเสธว่า ช่วงเลือกตั้งผู้มีสิทธิเลือกตั้งคือสินค้าที่สามารถซื้อหาได้ นักการเมือง ข้าราชการทุกระดับปฏิเสธหรือไม่ว่าใต้โต๊ะไม่มีอยู่จริง ระบบการฮั้วงานแลกเปลี่ยนผลประโยชน์ไม่มีอยู่จริง ส่วนประชาชนคนไทยทั้งประเทศนั่นหรือมีหน้าที่แค่อย่างเดียว คือ เลือกคนพวกนี้เข้าไปประชาธิปไตยแค่ 5 วินาที ส่วนเวลาที่เหลือคือหุ่นยนต์ข้าทาส ที่คอยรับคำสั่งทำอะไรได้ทั้งนั้น แม้ถึงขั้นต้องแลกด้วยชีวิต ด้วยคำสั่งจากกากเดน หรือนายใหญ่เพียงไม่กี่คำพูด
เศรษฐกิจประเทศไทยคงไม่ต้องพูดถึง นับถอยหลังเข้าสู่ความฉิบหายได้อย่างเต็มปาก กลุ่มทุนผูกขาดในประเทศไทยเพียงไม่กี่กลุ่มที่สามารถยึดอำนาจประเทศนี้ได้อย่างเบ็ดเสร็จ ทุนต่างชาติเร่งเร้าคอยสูบเลือดเนื้อผลกำไรกลับไปสร้างความมั่งคั่งในประเทศเขา แต่ละปีนับแสนล้าน คนไทยอยู่สถานะแค่ผู้บริโภคได้เท่านั้น ยิ่งรัฐบาลกระดองปูเร่งผลาญงบประมาณในประชานิยมสุดขั้วแบบไม่ลืมหูลืมตาจนส่งผลต่อหนี้สาธารณะที่กำลังพุ่งกระฉูดอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน นักการเมืองกอบโกยรวยเอาๆ
ประชาชนหนี้บานจากภาระที่ต้องบริโภควัตถุ เสพความสะดวกสบาย สินค้าราคาแพงลิ่ว ล้วนเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวคนไทยทุกคนที่ย้อนกลับคิด และพิจารณาได้หากมีรอยหยักในสมองมากพอ และแบ่งแยกได้ว่า เรื่องจริงกับสิ่งลวง หากถึงเวลาคนไทยที่รู้เท่าทันเรื่องพวกนี้ยังเฉย ทางเดียวเท่านั้นที่ร่วมกันเดินไปข้างหน้าต่อได้อย่างอกผายไหล่ผึ่ง นั่นคือ..ความฉิบหายไม่ใช่หรือ