ยะลา - โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ปัดรัฐไม่ได้อยู่เบื้องหลังคำขู่หยุดวันศุกร์ตามที่ใบปลิวกล่าวอ้าง แจงทุกภาคส่วนพยายามแก้ปัญหา และกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ เผยประชาชนในพื้นที่ 3 จชต.มีความมั่นใจในการ รปภ.ของเจ้าหน้าที่ ทยอยเปิดการค้าขายวันศุกร์เกือบเป็นปกติแล้ว
วันนี้ (12 ต.ค.) พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุการณ์ปรากฏข่าวลือในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ข่มขู่ประชาชนมิให้มีการค้าขายในวันศุกร์ หากไม่ปฏิบัติตามจะไม่รับรองความปลอดภัย ซึ่งข่าวลือดังกล่าวได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากความไม่มั่นใจในความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน นอกจากนี้ กลุ่มผู้ไม่หวังดีได้โปรยใบปลิว และปล่อยข่าวว่า ข่าวลือดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ สร้างความสับสนให้แก่สังคมทั้งใน และนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
จากกรณีดังกล่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตระหนักดีว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา จึงได้กำหนดแนวทางในการดำเนินการสร้างความเข้าใจ และชี้แจงพี่น้องประชาชนผ่านทางผู้นำศาสนา เช่น จุฬาราชมนตรี คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด รวมทั้งโต๊ะอิหม่าม ซึ่งชี้ให้เห็นแล้วว่า ในบทบัญญัติของศาสนาอิสลามไม่ได้ห้ามการค้าขายในวันศุกร์แต่อย่างใด ดังนั้น การข่มขู่คุกคามให้สุจริตชนต้องหยุดค้าขายในวันศุกร์ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลอื่น เป็นการแอบอ้างศาสนาอิสลามเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างมิชอบ เป็นการกระทำของพวกสุดโต่งทางความคิดที่นิยมความรุนแรง ซึ่งเป็นการกระทำที่อยู่นอกกรอบแนวทางของอัลเลาะฮ์อย่างสิ้นเชิง
พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า การโปรยใบปลิว และข่าวลือว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น เป็นเพียงแนวทางของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งสร้างสถานการณ์ หรือทำร้ายพี่น้องประชาชน แล้วโยนความผิดว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นวิธีการเดิมๆ ที่เคยใช้มาโดยตลอดในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการแต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่แล้วก่อเหตุร้าย การร้องเรียนเรื่องการซ้อมทรมาน การจัดฉากข่มขืนผู้หญิงมุสลิม เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อต้องการสร้างความเกลียดชัง และสร้างความหวาดระแวงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งวิธีการดังที่กล่าวไม่สามารถใช้ได้ผลอีกแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากพี่น้องประชาชนมีความเข้าใจ และรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้ก่อเหตุรุนแรงมากขึ้น เพราะมีผลงานเชิงประจักษ์อย่างชัดเจนแล้วว่าใครกันแน่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าไปทำลายวิถีชีวิต และเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนตามที่พยายามกล่าวอ้าง ทั้งนี้ เป็นเพราะตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา ทุกหน่วยในพื้นที่ได้ใช้ความพยายามในการแก้ปัญหา พัฒนาคุณภาพชีวิต และระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อนำความสันติสุขกลับคืนสู่พื้นที่ และทำให้สถานการณ์มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากตามลำดับ
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังได้กล่าวอีกว่า การสร้างความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐแก่พี่น้องประชาชนนั้น ทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้บูรณาการการใช้กำลังทั้งมวล แสดงกำลังเข้ากดดัน จำกัดเสรีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในเขตเศรษฐกิจ ย่านการค้า ชุมชนเมือง และชุมชนรอบเมือง ให้การรักษาความปลอดภัยร้านค้าที่เปิดบริการอย่างทั่วถึง การเพิ่มความเข้มในการปฏิบัติ ณ ด่านตรวจ และจุดตรวจ รวมทั้งการติดตามจับกุมผู้ปล่อยข่าว และข่มขู่ประชาชนซึ่งปัจจุบัน สามารถควบคุมตัวได้แล้ว จำนวน 3 คน ประกอบด้วย จังหวัดยะลา 2 คน และจังหวัดปัตตานี 1 คน ซึ่งจะดำเนินการสอบสวนเพื่อขยายผลจับกุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาลงโทษตามกระบวนการตามกฎหมายต่อไป
และจากการดำเนินการภายใต้การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในห้วงที่ผ่านมา ส่งผลให้พี่น้องประชาชนเริ่มมีความเข้าใจ และมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จากประมาณร้อยละ 15-20 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2555 เพิ่มเป็นร้อยละ 60-80 อย่างไรก็ตาม จากการใช้ความพยายามตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้าใจจากผู้นำศาสนา และการสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรักษาความปลอดภัย ทำให้เชื่อได้ว่า สถานการณ์จะค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และจะกลับคืนสู่สภาวะปกติในที่สุด
วันนี้ (12 ต.ค.) พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ภาค 4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากกรณีเหตุการณ์ปรากฏข่าวลือในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ข่มขู่ประชาชนมิให้มีการค้าขายในวันศุกร์ หากไม่ปฏิบัติตามจะไม่รับรองความปลอดภัย ซึ่งข่าวลือดังกล่าวได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนในวงกว้าง เนื่องจากความไม่มั่นใจในความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สิน นอกจากนี้ กลุ่มผู้ไม่หวังดีได้โปรยใบปลิว และปล่อยข่าวว่า ข่าวลือดังกล่าวเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ สร้างความสับสนให้แก่สังคมทั้งใน และนอกพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้
จากกรณีดังกล่าว กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ตระหนักดีว่า เหตุการณ์ดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิต เศรษฐกิจ และสังคมจิตวิทยา จึงได้กำหนดแนวทางในการดำเนินการสร้างความเข้าใจ และชี้แจงพี่น้องประชาชนผ่านทางผู้นำศาสนา เช่น จุฬาราชมนตรี คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด รวมทั้งโต๊ะอิหม่าม ซึ่งชี้ให้เห็นแล้วว่า ในบทบัญญัติของศาสนาอิสลามไม่ได้ห้ามการค้าขายในวันศุกร์แต่อย่างใด ดังนั้น การข่มขู่คุกคามให้สุจริตชนต้องหยุดค้าขายในวันศุกร์ถือเป็นการกระทำที่ละเมิดต่อสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลอื่น เป็นการแอบอ้างศาสนาอิสลามเพื่อผลประโยชน์ของตนอย่างมิชอบ เป็นการกระทำของพวกสุดโต่งทางความคิดที่นิยมความรุนแรง ซึ่งเป็นการกระทำที่อยู่นอกกรอบแนวทางของอัลเลาะฮ์อย่างสิ้นเชิง
พ.อ.ปราโมทย์ พรหมอินทร์ โฆษกกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า การโปรยใบปลิว และข่าวลือว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐนั้น เป็นเพียงแนวทางของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงซึ่งสร้างสถานการณ์ หรือทำร้ายพี่น้องประชาชน แล้วโยนความผิดว่าเป็นการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งเป็นวิธีการเดิมๆ ที่เคยใช้มาโดยตลอดในห้วงเวลาที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการแต่งกายเลียนแบบเจ้าหน้าที่แล้วก่อเหตุร้าย การร้องเรียนเรื่องการซ้อมทรมาน การจัดฉากข่มขืนผู้หญิงมุสลิม เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อต้องการสร้างความเกลียดชัง และสร้างความหวาดระแวงต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ซึ่งวิธีการดังที่กล่าวไม่สามารถใช้ได้ผลอีกแล้วในปัจจุบัน เนื่องจากพี่น้องประชาชนมีความเข้าใจ และรู้ทันเล่ห์เหลี่ยมผู้ก่อเหตุรุนแรงมากขึ้น เพราะมีผลงานเชิงประจักษ์อย่างชัดเจนแล้วว่าใครกันแน่ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์ตลอดห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา
ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่เจ้าหน้าที่รัฐจะเข้าไปทำลายวิถีชีวิต และเศรษฐกิจของพี่น้องประชาชนตามที่พยายามกล่าวอ้าง ทั้งนี้ เป็นเพราะตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา ทุกหน่วยในพื้นที่ได้ใช้ความพยายามในการแก้ปัญหา พัฒนาคุณภาพชีวิต และระบบเศรษฐกิจในพื้นที่ เพื่อนำความสันติสุขกลับคืนสู่พื้นที่ และทำให้สถานการณ์มีการพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นมากตามลำดับ
โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ยังได้กล่าวอีกว่า การสร้างความเชื่อมั่นในอำนาจรัฐแก่พี่น้องประชาชนนั้น ทางกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า ได้บูรณาการการใช้กำลังทั้งมวล แสดงกำลังเข้ากดดัน จำกัดเสรีกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงในเขตเศรษฐกิจ ย่านการค้า ชุมชนเมือง และชุมชนรอบเมือง ให้การรักษาความปลอดภัยร้านค้าที่เปิดบริการอย่างทั่วถึง การเพิ่มความเข้มในการปฏิบัติ ณ ด่านตรวจ และจุดตรวจ รวมทั้งการติดตามจับกุมผู้ปล่อยข่าว และข่มขู่ประชาชนซึ่งปัจจุบัน สามารถควบคุมตัวได้แล้ว จำนวน 3 คน ประกอบด้วย จังหวัดยะลา 2 คน และจังหวัดปัตตานี 1 คน ซึ่งจะดำเนินการสอบสวนเพื่อขยายผลจับกุมผู้มีส่วนเกี่ยวข้องมาลงโทษตามกระบวนการตามกฎหมายต่อไป
และจากการดำเนินการภายใต้การมีส่วนร่วมจากทุกภาคส่วนในห้วงที่ผ่านมา ส่งผลให้พี่น้องประชาชนเริ่มมีความเข้าใจ และมีความเชื่อมั่นมากขึ้น จากประมาณร้อยละ 15-20 เมื่อวันที่ 28 กันยายน 2555 เพิ่มเป็นร้อยละ 60-80 อย่างไรก็ตาม จากการใช้ความพยายามตลอดห้วงเวลาที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างความเข้าใจจากผู้นำศาสนา และการสร้างความเชื่อมั่นในมาตรการรักษาความปลอดภัย ทำให้เชื่อได้ว่า สถานการณ์จะค่อยๆ คลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น และจะกลับคืนสู่สภาวะปกติในที่สุด