ศูนย์ข่าวภูเก็ต - หนุ่มช่างกลึงใช้อาวุธปืนปากกายิงแสกหน้าตัวเองดับภายในบ้านพักกลางเมืองภูเก็ต เมียระบุ ป่วยเป็นโรคปวดหัว ตร.ยังสืบสวนหาสาเหตุที่แท้จริง
เมื่อเวลา 23.30 น.วันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.อเนก มงคล สารวัตรเวร สภ.เมืองภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เกิดเหตุยิงกันตายภายในบ้านเช่าเลขที่ 67/22 ซ.ภูเก็ตโรงโฟม หมู่ 1 ต.รัษฎา อ.เมือง จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผกก.พ.ต.ท.ประวิทย์ เอ่งฉ้วน สว.สส.นำกำลังสายตรวจ-ชุดสืบสวน และมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตรุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเช่าชั้นเดียว อยู่ภายในซอย ซ.ภูเก็ตโรงโฟม หมู่ 1 ต.รัษฎา อ.เมือง หน้าบ้านมีชาวบ้านมุงดูจำนวนมาก ตรวจสอบภายในบ้านพบศพผู้ชายนอนเสียชีวิตจมกองเลือด สวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีครีม นุ่งกางเกงขาสั้นสีเทา ที่บริเวณหน้าผากมีรอยถูกยิง ด้านขวามือของผู้เสียชีวิต พบปืนปากกาไทยประดิษฐ์ตกอยู่ที่พื้น ทราบชื่อผู้ตายคือ นายมนเทียร เงินมาก อายุ 44 ปี มีอาชีพเป็นช่างกลึง บ้านเดิมอยู่ที่ 67/7 หมู่ 1 ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต สภาพศพถูกกระสุนปืนขนาด .38 เข้าที่บริเวณแสกหน้ากลางหน้าผาก กระสุนทะลุหลังจำนวน 1 นัด
จากการตรวจสอบภายในที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้ หรือรื้อค้นทรัพย์สิน บนเตียงพบหัวกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 1 นัดตกอยู่ บริเวณฝาผนังห้องเหนือเตียงนอนมีรูกระสุนปืน 1 รู ภายในที่เกิดเหตุพบนางสมจิตต์ แซ่อุ๋ย อายุ 46 ปี ภรรยาผู้ตายนั่งร้องไห้กอดลูกชายวัย 11 ขวบอยู่ไม่ห่างศพ จึงมอบศพให้มูลนิธินำส่ง รพ.วชิระภูเก็ตเพื่อตรวจหาเขม่าดินปืนที่มือผู้ตาย พร้อมนำปืนปากกาไทยประดิษฐ์กลับไปตรวจหาวิถีกระสุน
จากการสอบถามนางสมจิตต์ ภรรยาของผู้ตาย ทราบว่า นายมนเทียรทำงานเป็นช่างกลึง และเป็นหนึ่งในเซียนพระในพื้นที่ ที่ผ่านมา นายมนเทียรมักบ่นว่าปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยครั้ง ก่อนเกิดเหตุนายมนเทียรได้นั่งดูทีวีอยู่ภายในห้องโถงเพียงลำพัง ส่วนตนเอง และลูกชายนอนพักอยู่ภายในห้องนอน จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จึงวิ่งออกมาดู ปรากฏว่า นายมนเทียร นอนจมกองเลือด มือขวากำปืนปากกาเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุการฆ่าตัวตายนั้นตนเองไม่ทราบเช่นกัน เพราะนายมนเทียรไม่เคยบ่น หรือปรึกษาให้ฟังมาก่อน และไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันภายในครอบครัว มีเพียงเรื่องสุขภาพของสามีเท่านั้น ส่วนปืนปากกานั้นไม่ทราบมาก่อนว่านายมนเทียรมีปืนปากกา
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของนายมนเทียรในครั้งนี้ ซึ่งจะต้องสืบสวนหาสาเหตุของการตายที่แท้จริงอีกครั้งว่าเป็นการฆ่าตัวตาย หรือถูกฆาตกรรม
เมื่อเวลา 23.30 น.วันที่ 10 ต.ค.ที่ผ่านมา พ.ต.ท.อเนก มงคล สารวัตรเวร สภ.เมืองภูเก็ต ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่า เกิดเหตุยิงกันตายภายในบ้านเช่าเลขที่ 67/22 ซ.ภูเก็ตโรงโฟม หมู่ 1 ต.รัษฎา อ.เมือง จึงพร้อมด้วย พ.ต.อ.เสริมพันธุ์ ศิริคง ผกก.พ.ต.ท.ประวิทย์ เอ่งฉ้วน สว.สส.นำกำลังสายตรวจ-ชุดสืบสวน และมูลนิธิกุศลธรรมภูเก็ตรุดไปตรวจสอบ
ที่เกิดเหตุเป็นบ้านเช่าชั้นเดียว อยู่ภายในซอย ซ.ภูเก็ตโรงโฟม หมู่ 1 ต.รัษฎา อ.เมือง หน้าบ้านมีชาวบ้านมุงดูจำนวนมาก ตรวจสอบภายในบ้านพบศพผู้ชายนอนเสียชีวิตจมกองเลือด สวมเสื้อยืดคอกลมแขนสั้นสีครีม นุ่งกางเกงขาสั้นสีเทา ที่บริเวณหน้าผากมีรอยถูกยิง ด้านขวามือของผู้เสียชีวิต พบปืนปากกาไทยประดิษฐ์ตกอยู่ที่พื้น ทราบชื่อผู้ตายคือ นายมนเทียร เงินมาก อายุ 44 ปี มีอาชีพเป็นช่างกลึง บ้านเดิมอยู่ที่ 67/7 หมู่ 1 ต.รัษฎา อ.เมืองภูเก็ต สภาพศพถูกกระสุนปืนขนาด .38 เข้าที่บริเวณแสกหน้ากลางหน้าผาก กระสุนทะลุหลังจำนวน 1 นัด
จากการตรวจสอบภายในที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยการต่อสู้ หรือรื้อค้นทรัพย์สิน บนเตียงพบหัวกระสุนปืนขนาด .38 จำนวน 1 นัดตกอยู่ บริเวณฝาผนังห้องเหนือเตียงนอนมีรูกระสุนปืน 1 รู ภายในที่เกิดเหตุพบนางสมจิตต์ แซ่อุ๋ย อายุ 46 ปี ภรรยาผู้ตายนั่งร้องไห้กอดลูกชายวัย 11 ขวบอยู่ไม่ห่างศพ จึงมอบศพให้มูลนิธินำส่ง รพ.วชิระภูเก็ตเพื่อตรวจหาเขม่าดินปืนที่มือผู้ตาย พร้อมนำปืนปากกาไทยประดิษฐ์กลับไปตรวจหาวิถีกระสุน
จากการสอบถามนางสมจิตต์ ภรรยาของผู้ตาย ทราบว่า นายมนเทียรทำงานเป็นช่างกลึง และเป็นหนึ่งในเซียนพระในพื้นที่ ที่ผ่านมา นายมนเทียรมักบ่นว่าปวดหัวไมเกรนอยู่บ่อยครั้ง ก่อนเกิดเหตุนายมนเทียรได้นั่งดูทีวีอยู่ภายในห้องโถงเพียงลำพัง ส่วนตนเอง และลูกชายนอนพักอยู่ภายในห้องนอน จากนั้นได้ยินเสียงปืนดังขึ้น 1 นัด จึงวิ่งออกมาดู ปรากฏว่า นายมนเทียร นอนจมกองเลือด มือขวากำปืนปากกาเสียชีวิตแล้ว ส่วนสาเหตุการฆ่าตัวตายนั้นตนเองไม่ทราบเช่นกัน เพราะนายมนเทียรไม่เคยบ่น หรือปรึกษาให้ฟังมาก่อน และไม่เคยมีเรื่องทะเลาะกันภายในครอบครัว มีเพียงเรื่องสุขภาพของสามีเท่านั้น ส่วนปืนปากกานั้นไม่ทราบมาก่อนว่านายมนเทียรมีปืนปากกา
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่ได้ระบุสาเหตุการเสียชีวิตของนายมนเทียรในครั้งนี้ ซึ่งจะต้องสืบสวนหาสาเหตุของการตายที่แท้จริงอีกครั้งว่าเป็นการฆ่าตัวตาย หรือถูกฆาตกรรม
