คอลัมน์ : โลกที่ซับซ้อน
โดย...ประสาท มีแต้ม
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากรได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนของชาวบ้านตำบลหนองแซง อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น โดยชาวบ้านเกรงว่าที่ดินสาธารณประโยชน์ที่พวกเขาใช้อยู่จะถูกเปลี่ยนเป็นนิคมอุตสาหกรรม ด้วยกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากลรวมทั้งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่จะตามมา
โดยส่วนตัวผมเองรู้สึกว่า ปัจจุบันนี้สังคมไทย (ในบางด้าน) นอกจากจะยังไม่ได้พัฒนาขึ้นแล้ว แต่ยังกลับแย่ลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับยุคสมัย “ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม” เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ผมจะค่อยๆ แสดงเหตุผลตามลำดับดังนี้ครับ
เท่าที่ค้นดูจากอินเทอร์เน็ตพบว่า เพลง “ผู้ใหญ่ลี” (ประพันธ์โดย พิพัฒน์ บริบูรณ์ ขับร้องโดย ศักดิ์ศรี ศรีอักษร) เป็นเพลงลูกทุ่งแนวเสียดสีสังคม บันทึกแผ่นเสียงครั้งแรกเมื่อปี 2507 และโด่งดังอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ จนอาจกล่าวได้ว่า ในยุคนั้นแทบจะไม่มีใครไม่เคยฟังเพลงนี้เลย ผมถามนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คนหนึ่งซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยว่า “รู้จักเพลงผู้ใหญ่ลีไหม?” เขาตอบว่า “รู้จัก” นั่นสื่อถึงความดังมากของเพลงนี้ ส่วนหนึ่งของเนื้อร้องเป็นดังนี้ครับ
พอศอสองพันห้าร้อยสี่ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่า สุกร นั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด สุกรนั้นไซร้ คือ หมาน้อยธรรมดา
หมาน้อยธรรมดา หมาน้อยธรรมดา
บางคนอาจจะคิดว่าเพลงผู้ใหญ่ลีเป็นแค่เพลงเสียดสีสังคมธรรมดาๆ เท่านั้น แต่เท่าที่ผมค้นได้พบว่า ผู้แต่งเพลงผู้ใหญ่ลีมีความใกล้ชิดกับนักแต่งเพลงระดับบรมครูคือ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ผู้แต่งเพลง “กลิ่นโคลนสาปควาย” ที่ถูกรัฐบาลเผด็จการในขณะนั้นสั่งห้ามเปิดอยู่พักหนึ่งในช่วงการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ดังนั้น เนื้อเพลงผู้ใหญ่ลีจึงน่าจะมีความลึกซึ้งต่อการสะท้อนสังคมมากกว่าตัวอักษรที่ปรากฏ
เมื่อเรียงลำดับเหตุการณ์ในยุคนั้นแล้ว พบว่า ช่วงที่แต่งเพลงผู้ใหญ่ลี ประเทศไทยเรากำลังอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นยุคเผด็จการ โครงการพัฒนาต่างๆ รวมถึงการสื่อสารระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการส่วนต่างๆ จึงเป็นแบบ “สั่งการจากบนลงล่าง” ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ร่วมคิด วางแผน ทำประเมินผล และรับประโยชน์
ในขณะที่ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ในส่วนที่ว่าด้วย “สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน” มาตรา 57 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ…”
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว “ตาสีหัวคลอน” แม้ไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาดังกล่าวอย่างครบถ้วน แต่เขาก็ได้ใช้สิทธิขอข้อมูล (แต่ไม่ได้ขอเหตุผลนะ!) จากภาครัฐ ผมถือว่า การลุกขึ้นถามอย่างกล้าหาญในที่ประชุมของตาสีหัวคลอน และการลุกขึ้นตอบคำถามของผู้ใหญ่ลีเป็นการกระทำที่จำเป็นต้องกระทำในกระบวนการพัฒนา แม้คำตอบของผู้ใหญ่ลีจะไม่ถูกต้อง แต่ก็น่าจะเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ไม่หลอกลวง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่ได้ขายอาหารสัตว์ และไม่สามานย์
คราวนี้ลองมาดูกระบวนการพัฒนาในกรณีที่คณะอนุกรรมการสิทธิฯ ลงไปตรวจสอบกันบ้างครับ จากปากคำที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง ผมรู้สึกว่ามันน่าอับอายจังประเทศไทยเรา! มันแย่กว่ายุคผู้ใหญ่ลีเมื่อ 50 ปีก่อนเสียอีก ผมขอเล่าพร้อมกับการตั้งข้อสังเกตดังต่อไปนี้
เมื่อเวลาประมาณ 2 ทุ่มวันที่ 8 มีนาคม 2554 ชาวบ้านได้ถูกนายก และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแซงเรียกให้ไปลงลายมือชื่อเพื่อขอรับเบี้ยสูงอายุ รวมทั้งแจกอาหารสัตว์ ยาฉีดวัคซีนสุนัข แมว และรับเกลือไอโอดีน พร้อมกับเปรยขึ้นมาว่าจะมีนิคมอุตสาหกรรมในตำบลหนองแซง
หลังจากนั้น ชาวบ้านก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ต่อมา ลูกหลานของชาวบ้านคนหนึ่งได้อ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ต่างๆ ว่า นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแซงได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ ว่า “มีการทำประชาพิจารณ์โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่สาธารณประโยชน์แล้ว และชาวบ้านได้ให้ความเห็นชอบแล้ว”
อนุกรรมการสิทธิฯ ได้สอบถามชาวบ้านว่า “เขาบอกไหมว่าอุตสาหกรรมสีเขียวคืออะไร” ชาวบ้านตอบว่า “ไม่รู้ เขาไม่ได้บอก” จนนำไปสู่การแซวกันเล่นว่า สงสัยโรงงานจะทาสีเขียวมั้ง หรือเป็นโรงงานผลิตสีเขียวเพียงสีเดียวมั้ง
ผมลองไล่อ่านตามสื่อต่างๆ ทั้งที่ชาวบ้านเอามาให้ดู และค้นคว้าเพิ่มเติม ก็พบว่าไม่มีสื่อหนังสือพิมพ์ใดเลยได้อธิบายว่า “อุตสาหกรรมสีเขียวคืออะไร” แม้บางฉบับจะเอ่ยถึงคำว่า “สีเขียว” ถึง 5-6 ครั้งก็ตาม
รวมทั้งสื่อของมหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งเป็น 1 ใน 7 องค์กรที่ร่วมผลักดันโครงการนี้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าชาวบ้านกว่าร้อยละ 80 ไม่เห็นด้วย ดังความตอนหนึ่งในข่าวว่า
“จากการสำรวจผู้นำชุมชน เช่น นายก อบต. ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน พบว่าผู้นำชุมชนอยากให้เกิดนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่ชาวบ้านกว่า 80% ไม่เห็นด้วยกับการสร้างนิคมอุตสาหกรรม โดยเป็นผลมาจากการขาดความเข้าใจในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมซึ่งชาวบ้านมองเห็นว่าน่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เป็นเหตุให้สภาอุตสาหกรรมต้องจัดของบประมาณจากผู้ว่าราชการจังหวัดในการจัดประชาพิจารณ์ครั้งใหญ่เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ชาวบ้านในชุมชน และเชิญชาวบ้านเดินทางไปทัศนศึกษาเรียนรู้นิคมอุตสาหกรรมสีเขียวต้นแบบที่แท้จริง รวมทั้งจัดเวทีเสวนาการผลดี หรือเสียของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งคาดว่าทุกประเด็นจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้”
สิ่งที่ผมสงสัยมากก็คือ ทำไมสังคมไทยจึงไม่รู้จักสงสัย ตั้งคำถาม หรือร้อง เอ๊ะ เหมือนกับตาสีหัวคลอนในยุค 2504 บ้าง
ผู้ใหญ่บ้านที่ร่วมชี้แจงกับคณะฯ แสดงความเห็นเป็นภาษาอีสานว่า “อย่าได้ไปคึด(คือคิดในภาษากลาง) ว่าเมื่อมีนิคมอุตสาหกรรมแล้ว ชาวบ้านจะขายพืชผลได้ราคาดีขึ้น เพราะเขาอาจจะทำโรงงานอิเล็กทรอนิกส์” พร้อมย้ำอย่างมีอารมณ์ว่า
“อย่าได้ไปคึด!”
ผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่งเล่าว่า “วันก่อนผู้ว่าราชการจังหวัดก็ลงพื้นที่บ้านเรา แต่คราวนี้แปลกมากที่ไม่ยอมแจ้งให้บรรดากำนัน ผู้ใหญ่บ้านไปต้อนรับเหมือนทุกๆ ครั้ง เพราะผู้ใหญ่บ้านส่วนใหญ่คัดค้านโครงการ”
ผมพยายามค้นผ่านอินเทอร์เน็ตว่า ทางราชการไทยเข้าใจว่า “นิคมอุตสาหกรรมสีเขียว” คืออะไร ก็ไปพบเอกสารในรูปเพาเวอร์พอยต์ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งพอสรุปได้ว่า ได้บอกถึงขั้นตอน 5 ขั้นในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับได้ให้คำอธิบายอย่างกว้างๆ ว่า
“อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) หมายถึงอุตสาหกรรมที่ยึดมั่นในการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการผลิต และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องรวมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายใน และภายนอกองค์กรตลอดห่วงโซ่อุปทาน”
ในความรู้สึกของผมแล้ว ความหมายดังกล่าวเป็นแค่การนำคำสวยๆ เท่ๆ เช่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาอย่างยั่งยืนมาต่อๆ กันเท่านั้นเอง แต่ขาดกระบวนการสำคัญๆ หลักๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติ
เมื่อพูดถึงหลักการปฏิบัติ ผมนึกถึงหลักการสีเขียว 4 ข้อ (Four Pillars of Green Party) ที่พรรคกรีน เยอรมนี และของประเทศอื่นๆ ด้วยได้ยึดถือปฏิบัติกันมากว่า 30 ปีแล้วก็คือ หนึ่ง ต้องใช้ภูมิปัญญาเชิงนิเวศ (Ecological Wisdom) สอง ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมในสังคม (Social Justice) สาม ต้องใช้กระบวนการประชาธิปไตยรากหญ้า (Grassroot Democracy) และ สี่ ไม่ใช้ความรุนแรง (Nonviolence)
ถ้าเริ่มต้นด้วยการหลอกให้ชาวบ้านเซ็นชื่อแล้วเอาไปอ้างว่าทำประชาพิจารณ์แล้ว เริ่มต้นด้วยยึดป่าสาธารณประโยชน์นับพันไร่ที่ชาวบ้านใช้อาศัยเป็นซูเปอร์มาร์เกต ใช้เป็นแหล่งน้ำใช้ และอื่นๆ อาจรวมถึงการคุกคามเข่นฆ่าแกนนำชาวบ้านที่ร่วมคัดค้าน (ที่เกิดขึ้นที่อื่นๆ) แล้วมันจะเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวได้หรือ
สมแล้วกับที่ชาวบ้านสรุปว่า “อย่าได้ไปคึด!”
โดย...ประสาท มีแต้ม
เมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว คณะอนุกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติด้านสิทธิชุมชนและฐานทรัพยากรได้ลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบข้อเท็จจริงตามคำร้องเรียนของชาวบ้านตำบลหนองแซง อำเภอบ้านแฮด จังหวัดขอนแก่น โดยชาวบ้านเกรงว่าที่ดินสาธารณประโยชน์ที่พวกเขาใช้อยู่จะถูกเปลี่ยนเป็นนิคมอุตสาหกรรม ด้วยกระบวนการที่ไม่ชอบมาพากลรวมทั้งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสังคมที่จะตามมา
โดยส่วนตัวผมเองรู้สึกว่า ปัจจุบันนี้สังคมไทย (ในบางด้าน) นอกจากจะยังไม่ได้พัฒนาขึ้นแล้ว แต่ยังกลับแย่ลงกว่าเดิมเมื่อเทียบกับยุคสมัย “ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม” เมื่อ 50 ปีที่แล้ว ผมจะค่อยๆ แสดงเหตุผลตามลำดับดังนี้ครับ
เท่าที่ค้นดูจากอินเทอร์เน็ตพบว่า เพลง “ผู้ใหญ่ลี” (ประพันธ์โดย พิพัฒน์ บริบูรณ์ ขับร้องโดย ศักดิ์ศรี ศรีอักษร) เป็นเพลงลูกทุ่งแนวเสียดสีสังคม บันทึกแผ่นเสียงครั้งแรกเมื่อปี 2507 และโด่งดังอย่างรวดเร็วทั่วประเทศ จนอาจกล่าวได้ว่า ในยุคนั้นแทบจะไม่มีใครไม่เคยฟังเพลงนี้เลย ผมถามนักศึกษาชั้นปีที่ 4 คนหนึ่งซึ่งร่วมเดินทางไปด้วยว่า “รู้จักเพลงผู้ใหญ่ลีไหม?” เขาตอบว่า “รู้จัก” นั่นสื่อถึงความดังมากของเพลงนี้ ส่วนหนึ่งของเนื้อร้องเป็นดังนี้ครับ
พอศอสองพันห้าร้อยสี่ ผู้ใหญ่ลีตีกลองประชุม
ชาวบ้านต่างมาชุมนุม มาประชุมที่บ้านผู้ใหญ่ลี
ต่อไปนี้ผู้ใหญ่ลีจะขอกล่าว ถึงเรื่องราวที่ได้ประชุมมา
ทางการเขาสั่งมาว่า ให้ชาวนาเลี้ยงเป็ดและสุกร
ฝ่ายตาสีหัวคลอน ถามว่า สุกร นั้นคืออะไร
ผู้ใหญ่ลีลุกขึ้นตอบทันใด สุกรนั้นไซร้ คือ หมาน้อยธรรมดา
หมาน้อยธรรมดา หมาน้อยธรรมดา
บางคนอาจจะคิดว่าเพลงผู้ใหญ่ลีเป็นแค่เพลงเสียดสีสังคมธรรมดาๆ เท่านั้น แต่เท่าที่ผมค้นได้พบว่า ผู้แต่งเพลงผู้ใหญ่ลีมีความใกล้ชิดกับนักแต่งเพลงระดับบรมครูคือ ครูไพบูลย์ บุตรขัน ผู้แต่งเพลง “กลิ่นโคลนสาปควาย” ที่ถูกรัฐบาลเผด็จการในขณะนั้นสั่งห้ามเปิดอยู่พักหนึ่งในช่วงการปราบปรามคอมมิวนิสต์ ดังนั้น เนื้อเพลงผู้ใหญ่ลีจึงน่าจะมีความลึกซึ้งต่อการสะท้อนสังคมมากกว่าตัวอักษรที่ปรากฏ
เมื่อเรียงลำดับเหตุการณ์ในยุคนั้นแล้ว พบว่า ช่วงที่แต่งเพลงผู้ใหญ่ลี ประเทศไทยเรากำลังอยู่ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 1 ในยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งเป็นยุคเผด็จการ โครงการพัฒนาต่างๆ รวมถึงการสื่อสารระหว่างนักการเมืองกับข้าราชการส่วนต่างๆ จึงเป็นแบบ “สั่งการจากบนลงล่าง” ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างครบทุกขั้นตอน ตั้งแต่ร่วมคิด วางแผน ทำประเมินผล และรับประโยชน์
ในขณะที่ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญได้กำหนดไว้ในส่วนที่ว่าด้วย “สิทธิในข้อมูลข่าวสารและการร้องเรียน” มาตรา 57 ว่า “บุคคลย่อมมีสิทธิได้รับข้อมูล คำชี้แจง และเหตุผลจากหน่วยราชการ…”
เมื่อ 50 ปีที่แล้ว “ตาสีหัวคลอน” แม้ไม่ได้มีส่วนร่วมในกระบวนการพัฒนาดังกล่าวอย่างครบถ้วน แต่เขาก็ได้ใช้สิทธิขอข้อมูล (แต่ไม่ได้ขอเหตุผลนะ!) จากภาครัฐ ผมถือว่า การลุกขึ้นถามอย่างกล้าหาญในที่ประชุมของตาสีหัวคลอน และการลุกขึ้นตอบคำถามของผู้ใหญ่ลีเป็นการกระทำที่จำเป็นต้องกระทำในกระบวนการพัฒนา แม้คำตอบของผู้ใหญ่ลีจะไม่ถูกต้อง แต่ก็น่าจะเป็นไปอย่างตรงไปตรงมา ไม่หลอกลวง ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง ไม่ได้ขายอาหารสัตว์ และไม่สามานย์
คราวนี้ลองมาดูกระบวนการพัฒนาในกรณีที่คณะอนุกรรมการสิทธิฯ ลงไปตรวจสอบกันบ้างครับ จากปากคำที่ชาวบ้านเล่าให้ฟัง ผมรู้สึกว่ามันน่าอับอายจังประเทศไทยเรา! มันแย่กว่ายุคผู้ใหญ่ลีเมื่อ 50 ปีก่อนเสียอีก ผมขอเล่าพร้อมกับการตั้งข้อสังเกตดังต่อไปนี้
เมื่อเวลาประมาณ 2 ทุ่มวันที่ 8 มีนาคม 2554 ชาวบ้านได้ถูกนายก และปลัดองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแซงเรียกให้ไปลงลายมือชื่อเพื่อขอรับเบี้ยสูงอายุ รวมทั้งแจกอาหารสัตว์ ยาฉีดวัคซีนสุนัข แมว และรับเกลือไอโอดีน พร้อมกับเปรยขึ้นมาว่าจะมีนิคมอุตสาหกรรมในตำบลหนองแซง
หลังจากนั้น ชาวบ้านก็ไม่ได้คิดอะไร แต่ต่อมา ลูกหลานของชาวบ้านคนหนึ่งได้อ่านพบในหน้าหนังสือพิมพ์และเว็บไซต์ต่างๆ ว่า นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองแซงได้ให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อต่างๆ ว่า “มีการทำประชาพิจารณ์โครงการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมในพื้นที่สาธารณประโยชน์แล้ว และชาวบ้านได้ให้ความเห็นชอบแล้ว”
อนุกรรมการสิทธิฯ ได้สอบถามชาวบ้านว่า “เขาบอกไหมว่าอุตสาหกรรมสีเขียวคืออะไร” ชาวบ้านตอบว่า “ไม่รู้ เขาไม่ได้บอก” จนนำไปสู่การแซวกันเล่นว่า สงสัยโรงงานจะทาสีเขียวมั้ง หรือเป็นโรงงานผลิตสีเขียวเพียงสีเดียวมั้ง
ผมลองไล่อ่านตามสื่อต่างๆ ทั้งที่ชาวบ้านเอามาให้ดู และค้นคว้าเพิ่มเติม ก็พบว่าไม่มีสื่อหนังสือพิมพ์ใดเลยได้อธิบายว่า “อุตสาหกรรมสีเขียวคืออะไร” แม้บางฉบับจะเอ่ยถึงคำว่า “สีเขียว” ถึง 5-6 ครั้งก็ตาม
รวมทั้งสื่อของมหาวิทยาลัยขอนแก่นซึ่งเป็น 1 ใน 7 องค์กรที่ร่วมผลักดันโครงการนี้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าชาวบ้านกว่าร้อยละ 80 ไม่เห็นด้วย ดังความตอนหนึ่งในข่าวว่า
“จากการสำรวจผู้นำชุมชน เช่น นายก อบต. ผู้ใหญ่บ้าน กำนัน พบว่าผู้นำชุมชนอยากให้เกิดนิคมอุตสาหกรรม ขณะที่ชาวบ้านกว่า 80% ไม่เห็นด้วยกับการสร้างนิคมอุตสาหกรรม โดยเป็นผลมาจากการขาดความเข้าใจในการตั้งนิคมอุตสาหกรรมซึ่งชาวบ้านมองเห็นว่าน่าจะมีผลเสียมากกว่าผลดี เป็นเหตุให้สภาอุตสาหกรรมต้องจัดของบประมาณจากผู้ว่าราชการจังหวัดในการจัดประชาพิจารณ์ครั้งใหญ่เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ชาวบ้านในชุมชน และเชิญชาวบ้านเดินทางไปทัศนศึกษาเรียนรู้นิคมอุตสาหกรรมสีเขียวต้นแบบที่แท้จริง รวมทั้งจัดเวทีเสวนาการผลดี หรือเสียของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมสีเขียว ซึ่งคาดว่าทุกประเด็นจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้”
สิ่งที่ผมสงสัยมากก็คือ ทำไมสังคมไทยจึงไม่รู้จักสงสัย ตั้งคำถาม หรือร้อง เอ๊ะ เหมือนกับตาสีหัวคลอนในยุค 2504 บ้าง
ผู้ใหญ่บ้านที่ร่วมชี้แจงกับคณะฯ แสดงความเห็นเป็นภาษาอีสานว่า “อย่าได้ไปคึด(คือคิดในภาษากลาง) ว่าเมื่อมีนิคมอุตสาหกรรมแล้ว ชาวบ้านจะขายพืชผลได้ราคาดีขึ้น เพราะเขาอาจจะทำโรงงานอิเล็กทรอนิกส์” พร้อมย้ำอย่างมีอารมณ์ว่า
“อย่าได้ไปคึด!”
ผู้ใหญ่บ้านอีกคนหนึ่งเล่าว่า “วันก่อนผู้ว่าราชการจังหวัดก็ลงพื้นที่บ้านเรา แต่คราวนี้แปลกมากที่ไม่ยอมแจ้งให้บรรดากำนัน ผู้ใหญ่บ้านไปต้อนรับเหมือนทุกๆ ครั้ง เพราะผู้ใหญ่บ้านส่วนใหญ่คัดค้านโครงการ”
ผมพยายามค้นผ่านอินเทอร์เน็ตว่า ทางราชการไทยเข้าใจว่า “นิคมอุตสาหกรรมสีเขียว” คืออะไร ก็ไปพบเอกสารในรูปเพาเวอร์พอยต์ของสำนักงานปลัดกระทรวงอุตสาหกรรมซึ่งพอสรุปได้ว่า ได้บอกถึงขั้นตอน 5 ขั้นในเรื่องผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม พร้อมกับได้ให้คำอธิบายอย่างกว้างๆ ว่า
“อุตสาหกรรมสีเขียว (Green Industry) หมายถึงอุตสาหกรรมที่ยึดมั่นในการประกอบกิจการที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนด้วยการมุ่งเน้นในเรื่องของการพัฒนา และปรับปรุงกระบวนการผลิต และการบริหารจัดการสิ่งแวดล้อมอย่างต่อเนื่องรวมถึงความรับผิดชอบต่อสังคมทั้งภายใน และภายนอกองค์กรตลอดห่วงโซ่อุปทาน”
ในความรู้สึกของผมแล้ว ความหมายดังกล่าวเป็นแค่การนำคำสวยๆ เท่ๆ เช่น เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การพัฒนาอย่างยั่งยืนมาต่อๆ กันเท่านั้นเอง แต่ขาดกระบวนการสำคัญๆ หลักๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติ
เมื่อพูดถึงหลักการปฏิบัติ ผมนึกถึงหลักการสีเขียว 4 ข้อ (Four Pillars of Green Party) ที่พรรคกรีน เยอรมนี และของประเทศอื่นๆ ด้วยได้ยึดถือปฏิบัติกันมากว่า 30 ปีแล้วก็คือ หนึ่ง ต้องใช้ภูมิปัญญาเชิงนิเวศ (Ecological Wisdom) สอง ต้องคำนึงถึงความเป็นธรรมในสังคม (Social Justice) สาม ต้องใช้กระบวนการประชาธิปไตยรากหญ้า (Grassroot Democracy) และ สี่ ไม่ใช้ความรุนแรง (Nonviolence)
ถ้าเริ่มต้นด้วยการหลอกให้ชาวบ้านเซ็นชื่อแล้วเอาไปอ้างว่าทำประชาพิจารณ์แล้ว เริ่มต้นด้วยยึดป่าสาธารณประโยชน์นับพันไร่ที่ชาวบ้านใช้อาศัยเป็นซูเปอร์มาร์เกต ใช้เป็นแหล่งน้ำใช้ และอื่นๆ อาจรวมถึงการคุกคามเข่นฆ่าแกนนำชาวบ้านที่ร่วมคัดค้าน (ที่เกิดขึ้นที่อื่นๆ) แล้วมันจะเป็นอุตสาหกรรมสีเขียวได้หรือ
สมแล้วกับที่ชาวบ้านสรุปว่า “อย่าได้ไปคึด!”