ตรัง - ภาคเอกชนตรังคัดค้านการขึ้นอัตราค่าบริการเข้าไปท่องเที่ยวอุทยานแห่งชาติ ชี้เป็นการแก้ปัญหางบน้อยที่ไม่ตรงจุด และเสี่ยงให้เกิดคอร์รัปชัน ขณะที่ หน.อุทยานฯ หาดเจ้าไหม หวั่นนักท่องเที่ยวหันเที่ยวที่อื่นหมด
นายแพทย์สมชัย เจียรนัยศิลป์ นายกสมาคมการท่องเที่ยวและโรงแรมจังหวัดตรัง เปิดเผยว่า จากกรณีที่กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ประกาศขึ้นอัตราค่าบริการสำหรับบุคคลเข้าไปในอุทยานฯ จำนวน 33 แห่ง รวมทั้งอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง คือ ชาวไทยผู้ใหญ่ จาก 40 บาท เป็น 100 บาท เด็ก จาก 20 บาท เป็น 30 บาท และชาวต่างชาติ ผู้ใหญ่ จาก 400 บาท เป็น 500 บาท เด็ก จาก 200 บาท เป็น 300 บาท โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้เป็นต้นไปนั้น จะสร้างผลกระทบให้เกิดขึ้นต่อบริษัททัวร์ หรือโรงแรม ที่พักอย่างแน่นอน เนื่องจากเป็นการปรับขึ้นอัตราค่าบริการที่สูงเกินไป โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวผู้ใหญ่ชาวไทย ซึ่งจริงๆ แล้วหากจำเป็นก็ควรปรับขึ้นจากเดิมไม่เกิน 50% มิเช่นนั้นจะเท่ากับเป็นการทำลายบรรยากาศการท่องเที่ยว
นอกจากนั้น การที่กรมอุทยานฯ ออกมาประกาศก่อนใช้อัตราค่าบริการใหม่แค่เดือนกว่าๆ จะทำให้เกิดปัญหาต่อการบริหารจัดการด้านการท่องเที่ยวของภาคเอกชน ซึ่งมีการติดต่อ หรือทำสัญญากับลูกค้ามาล่วงหน้าเป็นปีๆ แล้ว ย่อมทำให้เกิดผลกระทบทางด้านธุรกิจอย่างแน่นอน อีกทั้งยังเป็นการทำงานเพียงฝ่ายเดียว โดยไม่เคยมาสอบถามภาคเอกชนเลย ที่สำคัญก็คือ ค่าบริการที่เก็บไปนั้นได้ถึงมือกรมอุทยานฯ มากน้อยแค่ไหน และสามารถนำกลับมาสร้างประโยชน์ให้แก่อุทยานฯ เพียงใด ซึ่งการอ้างว่า เพราะอุทยานฯ มีงบประมาณน้อย จึงต้องใช้วิธีการนี้มาแก้ปัญหา แทนที่จะไปเสนอขอกับทางรัฐบาลโดยตรง อาจกลับกลายเป็นช่องทางให้เกิดการคอร์รัปชัน และท้ายสุดกรมอุทยานฯ ก็ไม่ได้งบประมาณอย่างที่ตั้งเป้าไว้ แถมยังทำให้การท่องเที่ยวย่ำแย่ลงไปด้วย
นายณรงค์ คงเอียด หัวหน้าอุทยานแห่งชาติหาดเจ้าไหม จังหวัดตรัง เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาโดยเฉพาะนักท่องเที่ยวชาวไทย บางคนก็อาจรู้สึกไม่ค่อยพอใจที่ถูกทางอุทยานฯ จัดเก็บค่าบริการ โดยมองว่าเป็นจำนวนที่สูง และยอมเดินทางไปท่องเที่ยวยังจุดอื่นแทน ทั้งที่ตนเห็นว่าเป็นอัตราที่น่าจะเหมาะสมแล้ว และยังถูกกว่าการไปท่องเที่ยวตามสวนสนุกด้วยซ้ำ แต่หากมีการปรับขึ้นค่าบริการ ตนก็เกรงว่าจะมีเสียงสะท้อนกลับมาเพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม ตนยืนยันว่า เงินที่ทางอุทยานฯ จัดเก็บปีละประมาณ 2 ล้านบาท ได้ถูกส่งไปยังกรมอุทยานฯ ครบถ้วน และมีการดำเนินการอย่างโปร่งใสแน่นอน โดยจะได้รับการจัดสรรกลับมาปีละ 15% หรือประมาณ 3-4 แสนบาท เพื่อนำไปพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกในด้านต่างๆ เช่น บ้านพัก ห้องน้ำ
