ตรัง - “ช่างอีด” ไม่หวั่น “นายหัวชวน” ขนขุนพลฝีปากเอกของพรรค ปชป. ขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ 27 ก.ค.นี้ เพื่อช่วยพี่ชายหาเสียงเลือกนายก อบจ.ตรัง โวยถูกปล่อยข่าวให้ร้ายรับเงินเสื้อแดง 30 ล้าน
กรณีที่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ปชป. พร้อมด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายถาวร เสนเนียม, นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ, นายนิพนธ์ บุญญามณี ฯลฯ จะขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย นายกิจ หลีกภัย อดีตนายก อบจ.ตรัง 3 สมัย และผู้สมัครนายก อบจ.ตรัง หมายเลข 2 ซึ่งเป็นพี่ชายของนายชวนในวันที่ 27 ก.ค.55 นี้
นายชินธันธิ์ อนันต์มั่งคั่งกุล ผู้สมัคร นายก อบจ.ตรัง หมายเลข 1 เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ขอออกความเห็น และขอให้เป็นดุลยพินิจของอีกฝ่ายว่า เหมาะสมถูกต้องหรือไม่ ทั้งนี้ หาก นายกิจ สมัครในนามพรรค ปชป. ตนคงไม่มีสิทธิ์ไปคัดค้าน แต่การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นครั้งนี้ ควรจะปล่อยให้ผู้สมัครแข่งขันกันเอง ส่วนนายชวนก็ควรไปดูแลแก้ไขปัญหาชาวบ้านที่เดือดร้อนดีกว่า ไม่ใช่ปากพูดว่าตนเองเป็นนักประชาธิปไตย แต่การกระทำกลับเป็นนักเผด็จการทางความคิด แล้วต่อไปในอนาคตผู้ที่จะมาเล่นการเมืองจะคิดอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าว นายชินธันธิ์ กล่าวว่า ไม่รู้สึกกดดัน แต่กลับมีความสุขที่ได้รับเกียรติจากผู้หลักผู้ใหญ่ และขอยืนยันว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ตรัง ยังไม่จำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาฐานคะแนนเสียงแต่อย่างใด ก็คงจะเดินพบปะแบบเคาะประตูบ้านกับประชาชนตามปกติ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครตรัง จึงไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด และจากการลงพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระแสการตอบรับจากพี่น้องประชาชนค่อนข้างจะดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะคะแนนนิยมต่อนโยบายการหาเสียงแบบไม้ผลัดใบของตน ซึ่งตนจะขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ในวันที่ 27 ก.ค.นี้เช่นกัน ก่อนจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 29 ก.ค.55
ส่วนกรณีที่มีการให้ร้ายตนว่า รับเงินจากกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งมีตัวเลขสูงถึง 20-30 ล้านบาท เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.ตรัง ในครั้งนี้นั้น นายชินธันธิ์ ได้ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง และก็ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงไปแล้วว่า ตนเป็นสมาชิกพรรค ปชป. ตั้งแต่เมื่อปี 2548 กระทั่งปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ รวมทั้งคนในตระกูลตนก็ให้ความศรัทธาพรรค ปชป.มาโดยตลอด ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย ตนและญาติพี่น้องก็ให้ความเคารพนับถือ และเลือกนายชวนและพรรคทุกครั้ง แล้วตนผิดอะไรที่มาอาสารับใช้พี่น้องประชาชน แต่หากนายชวนยังรังแกลูกหลานอยู่ ตนก็ไม่แน่ใจว่าญาติพี่น้องและคนที่สนับสนุนตนจะยังคงศรัทธานายชวนอีกหรือไม่
สำหรับเงินที่ใช้ในการหาเสียงนั้น นายชินธันธิ์ ระบุว่า ทุกคนก็ทราบดีว่า เป็นเงินที่หยิบยืมมาจากที่ไหน หากตนได้รับเงินก้อนมหาศาลดังกล่าวจริง ป่านนี้ก็คงมีปัญญาจ่ายค่าไวนิลที่ยังค้างอยู่กับโรงพิมพ์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดจากการหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดแล้ว ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมจากทุกฝ่าย ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรให้มาถามตนโดยตรง อย่ามาให้ร้ายป้ายสีตนเช่นนี้ เพราะจะทำให้ประชาชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเข้าใจผิด และทำให้ตนเสื่อมเสียได้
ส่วนป้ายเชิญชวนให้ประชาชนมาฟังการปราศรัยที่มีรูปของ นายชวนแล้วในช่องขวามือมีหมายเลข 2 ตัวใหญ่ แต่กลับใส่ชื่อนายกิจผู้สมัครนาสยก อบจ.ตรัง ตัวเล็กมากนั้น นายชินธันธิ์กล่าวว่าทำให้ขณะนี้มีผู้สูงอายุหลายคนเกิดความเข้าใจผิดคิดว่านายชวนลงสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.ด้วย ถือเป็นเรื่องของการโฆษณาชวนเชื่อ จนทำให้เกิดความสับสนเข้าใจผิด แต่เป็นเรื่องปกติของการเมืองท้องถิ่นในยุคก่อนๆ ที่ทำกันมานานแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งมาถึงวันนี้ทำให้ตนตาสว่าง และได้รู้ธาตุแท้ของผู้ใหญ่บางคนว่า เล่นการเมืองแบบไหน เป็นนักประชาธิปไตยจริงหรือไม่ หรือเป็นเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมืองรุ่นลายคราม
กรณีที่ นายชวน หลีกภัย ประธานสภาที่ปรึกษาพรรค ปชป. พร้อมด้วย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ, นายถาวร เสนเนียม, นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ, นายนิพนธ์ บุญญามณี ฯลฯ จะขึ้นเวทีปราศรัยหาเสียงช่วย นายกิจ หลีกภัย อดีตนายก อบจ.ตรัง 3 สมัย และผู้สมัครนายก อบจ.ตรัง หมายเลข 2 ซึ่งเป็นพี่ชายของนายชวนในวันที่ 27 ก.ค.55 นี้
นายชินธันธิ์ อนันต์มั่งคั่งกุล ผู้สมัคร นายก อบจ.ตรัง หมายเลข 1 เปิดเผยว่า เรื่องดังกล่าวตนไม่ขอออกความเห็น และขอให้เป็นดุลยพินิจของอีกฝ่ายว่า เหมาะสมถูกต้องหรือไม่ ทั้งนี้ หาก นายกิจ สมัครในนามพรรค ปชป. ตนคงไม่มีสิทธิ์ไปคัดค้าน แต่การเลือกตั้งระดับท้องถิ่นครั้งนี้ ควรจะปล่อยให้ผู้สมัครแข่งขันกันเอง ส่วนนายชวนก็ควรไปดูแลแก้ไขปัญหาชาวบ้านที่เดือดร้อนดีกว่า ไม่ใช่ปากพูดว่าตนเองเป็นนักประชาธิปไตย แต่การกระทำกลับเป็นนักเผด็จการทางความคิด แล้วต่อไปในอนาคตผู้ที่จะมาเล่นการเมืองจะคิดอย่างไร
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าว นายชินธันธิ์ กล่าวว่า ไม่รู้สึกกดดัน แต่กลับมีความสุขที่ได้รับเกียรติจากผู้หลักผู้ใหญ่ และขอยืนยันว่าในช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเลือกตั้งนายก อบจ.ตรัง ยังไม่จำเป็นที่จะต้องปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาฐานคะแนนเสียงแต่อย่างใด ก็คงจะเดินพบปะแบบเคาะประตูบ้านกับประชาชนตามปกติ โดยเฉพาะในเขตเทศบาลนครตรัง จึงไม่รู้สึกกังวลแต่อย่างใด และจากการลงพื้นที่มาอย่างต่อเนื่อง ทำให้กระแสการตอบรับจากพี่น้องประชาชนค่อนข้างจะดีขึ้นตามลำดับ โดยเฉพาะคะแนนนิยมต่อนโยบายการหาเสียงแบบไม้ผลัดใบของตน ซึ่งตนจะขึ้นเวทีปราศรัยใหญ่ในวันที่ 27 ก.ค.นี้เช่นกัน ก่อนจะมีการเลือกตั้งในวันที่ 29 ก.ค.55
ส่วนกรณีที่มีการให้ร้ายตนว่า รับเงินจากกลุ่มคนเสื้อแดง ซึ่งมีตัวเลขสูงถึง 20-30 ล้านบาท เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.ตรัง ในครั้งนี้นั้น นายชินธันธิ์ ได้ปฏิเสธว่าไม่เป็นความจริง และก็ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงไปแล้วว่า ตนเป็นสมาชิกพรรค ปชป. ตั้งแต่เมื่อปี 2548 กระทั่งปัจจุบันก็ยังเป็นอยู่ รวมทั้งคนในตระกูลตนก็ให้ความศรัทธาพรรค ปชป.มาโดยตลอด ไม่ว่าจะกี่ยุคสมัย ตนและญาติพี่น้องก็ให้ความเคารพนับถือ และเลือกนายชวนและพรรคทุกครั้ง แล้วตนผิดอะไรที่มาอาสารับใช้พี่น้องประชาชน แต่หากนายชวนยังรังแกลูกหลานอยู่ ตนก็ไม่แน่ใจว่าญาติพี่น้องและคนที่สนับสนุนตนจะยังคงศรัทธานายชวนอีกหรือไม่
สำหรับเงินที่ใช้ในการหาเสียงนั้น นายชินธันธิ์ ระบุว่า ทุกคนก็ทราบดีว่า เป็นเงินที่หยิบยืมมาจากที่ไหน หากตนได้รับเงินก้อนมหาศาลดังกล่าวจริง ป่านนี้ก็คงมีปัญญาจ่ายค่าไวนิลที่ยังค้างอยู่กับโรงพิมพ์ขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง และค่าใช้จ่ายต่างๆ ที่เกิดจากการหาเสียงเลือกตั้งทั้งหมดแล้ว ดังนั้น จึงอยากเรียกร้องความเป็นธรรมจากทุกฝ่าย ถ้าอยากรู้เรื่องอะไรให้มาถามตนโดยตรง อย่ามาให้ร้ายป้ายสีตนเช่นนี้ เพราะจะทำให้ประชาชนที่ไม่รู้ข้อเท็จจริงเข้าใจผิด และทำให้ตนเสื่อมเสียได้
ส่วนป้ายเชิญชวนให้ประชาชนมาฟังการปราศรัยที่มีรูปของ นายชวนแล้วในช่องขวามือมีหมายเลข 2 ตัวใหญ่ แต่กลับใส่ชื่อนายกิจผู้สมัครนาสยก อบจ.ตรัง ตัวเล็กมากนั้น นายชินธันธิ์กล่าวว่าทำให้ขณะนี้มีผู้สูงอายุหลายคนเกิดความเข้าใจผิดคิดว่านายชวนลงสมัครรับเลือกตั้ง นายก อบจ.ด้วย ถือเป็นเรื่องของการโฆษณาชวนเชื่อ จนทำให้เกิดความสับสนเข้าใจผิด แต่เป็นเรื่องปกติของการเมืองท้องถิ่นในยุคก่อนๆ ที่ทำกันมานานแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลก ซึ่งมาถึงวันนี้ทำให้ตนตาสว่าง และได้รู้ธาตุแท้ของผู้ใหญ่บางคนว่า เล่นการเมืองแบบไหน เป็นนักประชาธิปไตยจริงหรือไม่ หรือเป็นเล่ห์เหลี่ยมของนักการเมืองรุ่นลายคราม