ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ -ตัวแทนคณะทำงานภูเก็ตจัดการตนเอง เปิดเวทีแลกเปลี่ยน การขับเคลื่อนสมัชชาปฏิรูประดับจังหวัดภาคใต้ เพื่อหาข้อสรุปยกร่างยุทธศาสตร์การขับเคลื่อน พบจากปัญหา และความเหลื่อมล้ำจึงกำหนดเป้าหมาย โดยประกาศเจตนารมณ์เพื่อผลักดันภูเก็ตเป็นจังหวัดจัดการตนเอง และจัดตั้งสภาพลเมืองภูเก็ต
จากการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “การขับเคลื่อนสมัชชาปฏิรูประดับจังหวัดภาคใต้” ณ โรงแรมกรีนเวิล พาเลซ จ.สงขลา เมื่อเร็วๆ นี้ นายชาญเวช โชติกิจสมบูรณ์ ตัวแทนคณะทำงานภูเก็ตจัดการตนเอง กล่าวสรุปถึงแนวทางในการประชุมกลุ่มย่อยเพื่อยกร่างยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนสมัชชาปฏิรูประดับจังหวัดภาคใต้ว่า จากปัญหา และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นใน จ.ภูเก็ต ทางคณะทำงานจึงมีเป้าหมายในการพัฒนา โดยประกาศเจตนารมณ์ร่วมเพื่อผลักดันภูเก็ตเป็นจังหวัดจัดการตนเอง และจัดตั้งสภาพลเมืองภูเก็ต
“จ.ภูเก็ต มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารเป็นลักษณะจัดการตนเองหลายครั้ง โดยเริ่มต้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2525 ในการร่วมกันเสนอญัตติเข้าสู่สภาฯ เรื่อง “ภูเก็ตกับการบริหารอิสระ” หลังจากนั้นในปี 2530 ได้มีการร่าง พ.ร.บ.บริหารราชการนครภูเก็ต โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ และนายถวิล ไพรสณฑ์ จนนำไปสู่การสัมมนาเรื่องรูปแบบการปกครองภูเก็ตที่ควรจะเป็นในอนาคตโดยโครงการวิทยาลัยการเมือง สาขาวิชารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ร่วมกับ สภา จ.ภูเก็ต หอการค้า จ.ภูเก็ต เทศบาลเมืองภูเก็ต เมื่อวันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2536 ที่เสนอให้เป็นภูเก็ตมหานคร”
ต่อมา ในปี 2540 ผศ.วุฒิสาร ตันไชย หัวหน้าคณะทำงานฯ ได้เก็บรวบรวมความคิดเห็นและความต้องการของท้องถิ่น โดย ม.ธรรมศาสตร์นำคณะทำงานเดินทางมาภูเก็ต มาหาข้อมูลและความคิดเห็นของชาวภูเก็ตในสมัย นายพงศ์พโยม วาศภูติ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ช่วงรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ มีการเสวนา “บทบาทผู้ว่าน ซี อี โอ กับชาวภูเก็ต” เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 จนมาถึงแนวคิดของ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ที่เสนอให้ภูเก็ตมีคณะกรรมการจังหวัดภูเก็ต 15 คน
นายชาญเวช กล่าวต่อไปว่า จากการวิเคราะห์ถึงสภาพปัญหาที่ผ่านมา พบว่า จ.ภูเก็ต ยังมีการพัฒนาอย่างไร้ทิศทาง ส่งผลให้ยากต่อการควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม รวมไปถึงปัญหาการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และขาดประสิทธิภาพในการจัดการ ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย และกฎระเบียบที่ไม่เคร่งครัด ภาคประชาชนมีส่วนร่วมน้อย
“วิธีการที่ทางคณะทำงานคิดไว้ คือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลในภูเก็ตให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น ปรับกระบวนการคิดสนับสนุนให้มีการคิดอย่างเป็นระบบ ปลูกฝังความสำนึกรักในพื้นที่บ้านเกิด สร้างภาคี และแลกเปลี่ยนความรู้ในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือต่างๆ ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม และกิจกรรมที่สนับสนุนให้มีพฤติกรรมที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้มีคุณภาพทางธุรกิจ มีภาวะความเป็นผู้นำ โดยมองไว้ว่าในอนาคตอาจจะตั้งคนในพื้นที่เป็นผู้ว่าฯ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะต่างๆ ยังคงเป็นเพียงแนวทาง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการผลักดันให้เกิดขึ้นจริง”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา จ.ภูเก็ต ได้ดำเนินการขับเคลื่อนขั้นตอนต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น การมีสื่อกลางเพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ไปยังประชาชน เพื่อสร้างองค์ความรู้ และทำความเข้าใจ การสร้างกระแสให้แก่ชาวภูเก็ตเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการตกผลึกเรื่องจังหวัดจัดการตนเอง รวมถึงจัดทำเอกสารแจกใบปลิวให้ความรู้การทำประชาพิจารณ์ การจัดประชุมหารือทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน การจัดเวทีย่อยโดยรวบรวมความเห็นจากผู้บริหารท้องถิ่น มีเวทีใหญ่ 3-6 เดือนต่อครั้ง เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี
“สิ่งที่มุ่งหวังจากนี้ คือ ต้องการความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลในด้านของวิธีการ เช่น พัฒนาคนอย่างไร สร้างองค์ความรู้อย่างไร การจัดการด้านงบประมาณ รวมถึงภาคีความร่วมมือต่างๆ ซึ่งในอนาคต หากได้รับการสนับสนุน ปัญหาเดิมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือแก้ไขได้อย่างไม่เต็มที่ และปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งปัญหาเก่าที่พัฒนาเป็นปัญหาซับซ้อน ก็จะค่อยๆ ลดลงจากเมืองภูเก็ตอย่างแน่นอน” นายชาญเวชกล่าว
ด้าน นางวณี ปิ่นประทีป รองผู้อำนวยการสำนักงานปฏิรูป (สปร.) กล่าวว่า สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับ “จังหวัดจัดการตนเอง” ที่หลายคนมองว่า เป็นการกระจายอำนาจสู่ประชาชนนั้น ทาง สปร. ได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “การคืนอำนาจสู่ประชาชน” เพื่อจัดการกับปัญหาของตนเอง และส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
“สปร. ได้มองไว้ว่า จังหวัดจัดการตนเองในภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ ภาคอีสาน คือ อำนาจเจริญ และจะยินดีสนับสนุนอย่างยิ่งหากภาคใต้จะมีจังหวัดจัดการตนเองเป็น จ.ภูเก็ต เพียงแต่ต้องการเห็นการวางแผนที่เป็นระบบ และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ทาง สปร. ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุน และผลักดันให้เกิดการพัฒนาจนนำไปสู่การปฏิรูป ยินดีจะส่งเสริมความคาดหวังของชาวภูเก็ตให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่”
สำหรับข้อเสนอแนะนั้น สิ่งสำคัญของยุทธศาสตร์ คือ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะคนในชุมชน ฉะนั้น การสื่อสารจึงเป็นกระบวนการที่จำเป็นอย่างยิ่ง แต่แทนที่จะใช้การชวนเข้าร่วมโดยตรง ควรจะเลี่ยงเป็นการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจจนกว่าประชาชนจะเกิดความตระหนัก ยอมรับ และเห็นด้วย
โดย สุพรรณี สุวรรณศรี/นักข่าวพลเมือง
จากการประชุมแลกเปลี่ยนเรียนรู้ “การขับเคลื่อนสมัชชาปฏิรูประดับจังหวัดภาคใต้” ณ โรงแรมกรีนเวิล พาเลซ จ.สงขลา เมื่อเร็วๆ นี้ นายชาญเวช โชติกิจสมบูรณ์ ตัวแทนคณะทำงานภูเก็ตจัดการตนเอง กล่าวสรุปถึงแนวทางในการประชุมกลุ่มย่อยเพื่อยกร่างยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนสมัชชาปฏิรูประดับจังหวัดภาคใต้ว่า จากปัญหา และความเหลื่อมล้ำที่เกิดขึ้นใน จ.ภูเก็ต ทางคณะทำงานจึงมีเป้าหมายในการพัฒนา โดยประกาศเจตนารมณ์ร่วมเพื่อผลักดันภูเก็ตเป็นจังหวัดจัดการตนเอง และจัดตั้งสภาพลเมืองภูเก็ต
“จ.ภูเก็ต มีความพยายามที่จะเปลี่ยนแปลงระบบการบริหารเป็นลักษณะจัดการตนเองหลายครั้ง โดยเริ่มต้นเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2525 ในการร่วมกันเสนอญัตติเข้าสู่สภาฯ เรื่อง “ภูเก็ตกับการบริหารอิสระ” หลังจากนั้นในปี 2530 ได้มีการร่าง พ.ร.บ.บริหารราชการนครภูเก็ต โดยนายวีระ มุสิกพงศ์ และนายถวิล ไพรสณฑ์ จนนำไปสู่การสัมมนาเรื่องรูปแบบการปกครองภูเก็ตที่ควรจะเป็นในอนาคตโดยโครงการวิทยาลัยการเมือง สาขาวิชารัฐศาสตร์ ม.สุโขทัยธรรมาธิราช ร่วมกับ สภา จ.ภูเก็ต หอการค้า จ.ภูเก็ต เทศบาลเมืองภูเก็ต เมื่อวันเสาร์ที่ 3 เมษายน 2536 ที่เสนอให้เป็นภูเก็ตมหานคร”
ต่อมา ในปี 2540 ผศ.วุฒิสาร ตันไชย หัวหน้าคณะทำงานฯ ได้เก็บรวบรวมความคิดเห็นและความต้องการของท้องถิ่น โดย ม.ธรรมศาสตร์นำคณะทำงานเดินทางมาภูเก็ต มาหาข้อมูลและความคิดเห็นของชาวภูเก็ตในสมัย นายพงศ์พโยม วาศภูติ เป็นผู้ว่าราชการจังหวัด ช่วงรัฐบาลอดีตนายกฯ ทักษิณ มีการเสวนา “บทบาทผู้ว่าน ซี อี โอ กับชาวภูเก็ต” เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2544 จนมาถึงแนวคิดของ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกฯ ที่เสนอให้ภูเก็ตมีคณะกรรมการจังหวัดภูเก็ต 15 คน
นายชาญเวช กล่าวต่อไปว่า จากการวิเคราะห์ถึงสภาพปัญหาที่ผ่านมา พบว่า จ.ภูเก็ต ยังมีการพัฒนาอย่างไร้ทิศทาง ส่งผลให้ยากต่อการควบคุมปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม ปัญหาสังคม รวมไปถึงปัญหาการพัฒนาที่ไม่ยั่งยืน และขาดประสิทธิภาพในการจัดการ ทั้งการบังคับใช้กฎหมาย และกฎระเบียบที่ไม่เคร่งครัด ภาคประชาชนมีส่วนร่วมน้อย
“วิธีการที่ทางคณะทำงานคิดไว้ คือ การพัฒนาทรัพยากรบุคคลในภูเก็ตให้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น ปรับกระบวนการคิดสนับสนุนให้มีการคิดอย่างเป็นระบบ ปลูกฝังความสำนึกรักในพื้นที่บ้านเกิด สร้างภาคี และแลกเปลี่ยนความรู้ในการผลักดันให้เกิดความร่วมมือต่างๆ ตลอดจนสร้างวัฒนธรรมจิตสำนึกเพื่อส่วนรวม และกิจกรรมที่สนับสนุนให้มีพฤติกรรมที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม ส่งเสริมให้มีคุณภาพทางธุรกิจ มีภาวะความเป็นผู้นำ โดยมองไว้ว่าในอนาคตอาจจะตั้งคนในพื้นที่เป็นผู้ว่าฯ อย่างไรก็ตาม ข้อเสนอแนะต่างๆ ยังคงเป็นเพียงแนวทาง ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลาอย่างมากในการผลักดันให้เกิดขึ้นจริง”
ทั้งนี้ ที่ผ่านมา จ.ภูเก็ต ได้ดำเนินการขับเคลื่อนขั้นตอนต่างๆ ด้วยตนเอง เช่น การมีสื่อกลางเพื่อเผยแพร่ข่าวสารต่างๆ ไปยังประชาชน เพื่อสร้างองค์ความรู้ และทำความเข้าใจ การสร้างกระแสให้แก่ชาวภูเก็ตเพื่อให้เกิดความต่อเนื่องในการตกผลึกเรื่องจังหวัดจัดการตนเอง รวมถึงจัดทำเอกสารแจกใบปลิวให้ความรู้การทำประชาพิจารณ์ การจัดประชุมหารือทุกวันเสาร์ที่ 3 ของเดือน การจัดเวทีย่อยโดยรวบรวมความเห็นจากผู้บริหารท้องถิ่น มีเวทีใหญ่ 3-6 เดือนต่อครั้ง เป็นต้น ซึ่งได้รับความร่วมมือจากประชาชนเป็นอย่างดี
“สิ่งที่มุ่งหวังจากนี้ คือ ต้องการความช่วยเหลือจากทางรัฐบาลในด้านของวิธีการ เช่น พัฒนาคนอย่างไร สร้างองค์ความรู้อย่างไร การจัดการด้านงบประมาณ รวมถึงภาคีความร่วมมือต่างๆ ซึ่งในอนาคต หากได้รับการสนับสนุน ปัญหาเดิมที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข หรือแก้ไขได้อย่างไม่เต็มที่ และปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้กระทั่งปัญหาเก่าที่พัฒนาเป็นปัญหาซับซ้อน ก็จะค่อยๆ ลดลงจากเมืองภูเก็ตอย่างแน่นอน” นายชาญเวชกล่าว
ด้าน นางวณี ปิ่นประทีป รองผู้อำนวยการสำนักงานปฏิรูป (สปร.) กล่าวว่า สำหรับแนวคิดเกี่ยวกับ “จังหวัดจัดการตนเอง” ที่หลายคนมองว่า เป็นการกระจายอำนาจสู่ประชาชนนั้น ทาง สปร. ได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “การคืนอำนาจสู่ประชาชน” เพื่อจัดการกับปัญหาของตนเอง และส่งผลให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นรูปธรรม
“สปร. ได้มองไว้ว่า จังหวัดจัดการตนเองในภาคเหนือ คือ เชียงใหม่ ภาคอีสาน คือ อำนาจเจริญ และจะยินดีสนับสนุนอย่างยิ่งหากภาคใต้จะมีจังหวัดจัดการตนเองเป็น จ.ภูเก็ต เพียงแต่ต้องการเห็นการวางแผนที่เป็นระบบ และกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน ทาง สปร. ซึ่งมีหน้าที่สนับสนุน และผลักดันให้เกิดการพัฒนาจนนำไปสู่การปฏิรูป ยินดีจะส่งเสริมความคาดหวังของชาวภูเก็ตให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่”
สำหรับข้อเสนอแนะนั้น สิ่งสำคัญของยุทธศาสตร์ คือ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนโดยเฉพาะคนในชุมชน ฉะนั้น การสื่อสารจึงเป็นกระบวนการที่จำเป็นอย่างยิ่ง แต่แทนที่จะใช้การชวนเข้าร่วมโดยตรง ควรจะเลี่ยงเป็นการให้ความรู้ สร้างความเข้าใจจนกว่าประชาชนจะเกิดความตระหนัก ยอมรับ และเห็นด้วย
โดย สุพรรณี สุวรรณศรี/นักข่าวพลเมือง