ตรัง - แกนนำแดงตรังค้านหัวชนฝา พ.ร.บ.ปรองดองไม่ได้เอื้อ “แม้ว” และไม่จำเป็นต้องชะลอ การถกในสภาฯ ออกปากชมเปาะ “บังเละ-สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีต คมช. ผู้ยกร่างลูกผู้ชายตัวจริงยังกลับใจทำเพื่อคนทุกคนในสังคม ขณะที่หมอนักสันติวิธีชี้ ทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้านทำไม่เหมาะ หวั่นลามเป็นสงครามกลางเมือง
วันนี้ (2 มิ.ย.) นายวิราว์ วัฒนกิจ เลขาสมัชชาประชาธิปไตยภาคใต้ แกนนำคนเสื้อแดง จ.ตรัง กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย นำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติเข้าสู่สภา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการพักรบชั่วคราว เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตั้งสติ เพราะทุกวันนี้ในสังคมมีแต่ความขัดแย้งและสับสน ดังนั้น เมื่อมีสติแล้วการแก้ปัญหาก็ขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนการที่กลุ่ม พธม.มองว่า การนำร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวรีบเร่งเข้าสู่การพิจารณา เนื่องจากมีนัยทางการเมือง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพวงพ้อง หากพิจารณาเนื้อหาร่างแล้วไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อคนทุกกลุ่มในสังคม
ฉะนั้น อย่ามองว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งความขัดแย้งทุกวันนี้เกิดมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเกิด เพราะต่างไม่ยอมรับกติกาของบ้านเมือง ดังนั้น หากทุกฝ่ายเคารพและยอมรับ ความขัดแย้งก็ไม่เกิดขึ้น ขนาด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติเอง ยังกลับใจต้องการให้เกิดการปรองดอง ซึ่งตนขอชื่นชมในความเป็นลูกชายที่แท้จริง
เมื่อถามว่า รัฐบาลควรชะลอการพิจารณาร่างดังกล่าวหรือไม่ เลขาสมัชชาประชาธิปไตยภาคใต้ และแกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่า ไม่มีประโยชน์ แม้จะมีการชะลอออกไป แต่กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยก็ยังคัดค้านอยู่ดี
ขณะที่ นพ.ไพศาล เกื้ออรุณ ประธานชมรมนักสันติวิธีภาคใต้ ไม่เห็นด้วยกับวิธีการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เข้าสู่สภาเป็นวาระเร่งด่วน โดยใช้เสียงข้างมากหักหาญเสียงข้างน้อย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ก็จะทำให้การปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ฉะนั้น หากต้องการให้เกิดความปรองดอง ควรทำอย่างโปร่งใส และคารพเสียงข้างน้อย ขณะเดียวกัน ก็ไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างน้อยที่ใช้วาจา และกำลังประทุษร้ายในเชิงทำลายกัน
ซึ่งรัฐบาลต้องปรับปรุงวิธีการโดยด่วน มิเช่นนั้น ภาวะความขัดแย้งที่มีอยู่จะหมิ่นเหม่กลายเป็นกรณีพิพาท และขยายผลกลายเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นได้ ส่วนจะรุนแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผู้ที่เกี่ยวข้องจะจัดการความขัดแย้งในทิศทางใด และทิศทางที่เหมาะสมที่อารยะประเทศยอมรับแล้ว คือ การจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี อย่าลืมว่าสังคมไทยทุกวันนี้ถึงทางแยกต้องเลือกระหว่างจะเดินแบบซีเรีย ซึ่งพัฒนาความขัดแย้งกลายเป็นสงคราม หรือจะเลือกเดินแบบพม่า ซึ่งพัฒนาจากสงครามมาเป็นเจราจาหาข้อยุติแบบสันติวิธี และตนเชื่อว่าคนไทยฉลาดพอที่จะเลือกในแบบสันติวิธี
ดังนั้น เรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้ามาพูดคุยกันในลักษณะทวิพาคี เจรจาไกล่เกลี่ยผ่านคนกลาง ซึ่งก็มีหลายคนสงสัยว่าคนกลางที่จะทำหน้าที่ได้ดีที่สุดท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งจะเป็นใคร สำหรับตนเห็นว่าในสังคมไทยยังมีบุคคลที่เป็นกลางได้รับการยอมรับไม่ว่าจะเป็นนายอานันท์ ปันยารชุน นายศุภชัย พานิชภักดิ์ ฯลฯ เป็นต้น โดยคนกลางที่เข้ามาทำหน้าที่ต้องห้ามแสดงความเห็นด้วยกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และให้ความเป็นธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย แต่ทั้งนี้ ต้องอยู่ในกรอบของสันติวิธีมุ่งไปสู่การมีสันติภาพ
ฉะนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อนำพาประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เป็นสิ่งที่สังคมต้องร่วมกันทำ อย่าโยนภาระนี้ให้รัฐบาลฝ่ายเดียว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวออกไป เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เจรจาหาข้อยุติร่วมกันโดยใช้สันติวิธี ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้
วันนี้ (2 มิ.ย.) นายวิราว์ วัฒนกิจ เลขาสมัชชาประชาธิปไตยภาคใต้ แกนนำคนเสื้อแดง จ.ตรัง กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่อไทย นำร่าง พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติเข้าสู่สภา ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นการพักรบชั่วคราว เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ตั้งสติ เพราะทุกวันนี้ในสังคมมีแต่ความขัดแย้งและสับสน ดังนั้น เมื่อมีสติแล้วการแก้ปัญหาก็ขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปได้ ส่วนการที่กลุ่ม พธม.มองว่า การนำร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวรีบเร่งเข้าสู่การพิจารณา เนื่องจากมีนัยทางการเมือง เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและพวงพ้อง หากพิจารณาเนื้อหาร่างแล้วไม่ได้ทำเพื่อใคร แต่ทำเพื่อคนทุกกลุ่มในสังคม
ฉะนั้น อย่ามองว่า ร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวนำไปสู่ความขัดแย้ง ซึ่งความขัดแย้งทุกวันนี้เกิดมานานแล้ว ไม่ใช่เพิ่งมาเกิด เพราะต่างไม่ยอมรับกติกาของบ้านเมือง ดังนั้น หากทุกฝ่ายเคารพและยอมรับ ความขัดแย้งก็ไม่เกิดขึ้น ขนาด พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ผู้ที่เคยเป็นหัวหน้าคณะปฏิวัติเอง ยังกลับใจต้องการให้เกิดการปรองดอง ซึ่งตนขอชื่นชมในความเป็นลูกชายที่แท้จริง
เมื่อถามว่า รัฐบาลควรชะลอการพิจารณาร่างดังกล่าวหรือไม่ เลขาสมัชชาประชาธิปไตยภาคใต้ และแกนนำคนเสื้อแดง ระบุว่า ไม่มีประโยชน์ แม้จะมีการชะลอออกไป แต่กลุ่มที่ไม่เห็นด้วยก็ยังคัดค้านอยู่ดี
ขณะที่ นพ.ไพศาล เกื้ออรุณ ประธานชมรมนักสันติวิธีภาคใต้ ไม่เห็นด้วยกับวิธีการผลักดันร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้เข้าสู่สภาเป็นวาระเร่งด่วน โดยใช้เสียงข้างมากหักหาญเสียงข้างน้อย เพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่ต้องการ ก็จะทำให้การปรองดองไม่สามารถเกิดขึ้นได้ ฉะนั้น หากต้องการให้เกิดความปรองดอง ควรทำอย่างโปร่งใส และคารพเสียงข้างน้อย ขณะเดียวกัน ก็ไม่เห็นด้วยกับเสียงข้างน้อยที่ใช้วาจา และกำลังประทุษร้ายในเชิงทำลายกัน
ซึ่งรัฐบาลต้องปรับปรุงวิธีการโดยด่วน มิเช่นนั้น ภาวะความขัดแย้งที่มีอยู่จะหมิ่นเหม่กลายเป็นกรณีพิพาท และขยายผลกลายเป็นสงครามกลางเมืองขึ้นได้ ส่วนจะรุนแรงแค่ไหน ขึ้นอยู่กับผู้ที่เกี่ยวข้องจะจัดการความขัดแย้งในทิศทางใด และทิศทางที่เหมาะสมที่อารยะประเทศยอมรับแล้ว คือ การจัดการความขัดแย้งด้วยสันติวิธี อย่าลืมว่าสังคมไทยทุกวันนี้ถึงทางแยกต้องเลือกระหว่างจะเดินแบบซีเรีย ซึ่งพัฒนาความขัดแย้งกลายเป็นสงคราม หรือจะเลือกเดินแบบพม่า ซึ่งพัฒนาจากสงครามมาเป็นเจราจาหาข้อยุติแบบสันติวิธี และตนเชื่อว่าคนไทยฉลาดพอที่จะเลือกในแบบสันติวิธี
ดังนั้น เรียกร้องให้ทั้ง 2 ฝ่ายหันหน้ามาพูดคุยกันในลักษณะทวิพาคี เจรจาไกล่เกลี่ยผ่านคนกลาง ซึ่งก็มีหลายคนสงสัยว่าคนกลางที่จะทำหน้าที่ได้ดีที่สุดท่ามกลางสถานการณ์ที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งจะเป็นใคร สำหรับตนเห็นว่าในสังคมไทยยังมีบุคคลที่เป็นกลางได้รับการยอมรับไม่ว่าจะเป็นนายอานันท์ ปันยารชุน นายศุภชัย พานิชภักดิ์ ฯลฯ เป็นต้น โดยคนกลางที่เข้ามาทำหน้าที่ต้องห้ามแสดงความเห็นด้วยกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และให้ความเป็นธรรมแก่ทั้ง 2 ฝ่าย แต่ทั้งนี้ ต้องอยู่ในกรอบของสันติวิธีมุ่งไปสู่การมีสันติภาพ
ฉะนั้น ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน เพื่อนำพาประเทศไปสู่สิ่งที่ดีกว่า เป็นสิ่งที่สังคมต้องร่วมกันทำ อย่าโยนภาระนี้ให้รัฐบาลฝ่ายเดียว พร้อมเรียกร้องให้รัฐบาลชะลอการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ฉบับดังกล่าวออกไป เพื่อให้ทุกฝ่ายได้เจรจาหาข้อยุติร่วมกันโดยใช้สันติวิธี ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด ณ เวลานี้