ธรณ์ ธำรงนาวาสวัสดิ์
รองคณบดีคณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ตอนที่ 2/3
ท้องฟ้าใสกระจ่าง จันทร์ดวงงามลอยเด่นให้เราขอข้าวขอแกง เสียงหนุ่มสาวคุยกันกรุ๋งกริ๋ง ถ้าเป็นนักเขียนประเภทเพ้อฝัน คงเริ่มเรื่องด้วยคำพรรณนาเช่นนั้น แต่ผมเป็นนักเขียนประเภทอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่เกริ่นมาจึงเป็นเรื่องโกหก เพราะท้องฟ้ายามค่ำคืนวันศุกร์มืดตึ๊ดตื๋อ จันทร์เจ้าขาอยู่ไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ เห็นแต่ไฟนีออนของร้านคาราโอเกะข้างถนน เสียงหนุ่มสาวคุยกันก็ไม่มี ได้ยินแต่เสียงกรนครอกๆ ของนายกั๊กที่นอนชันเข่าอยู่เบาะหลัง ผมอยากกรนบ้างก็ไม่ได้กรน เพราะกลัวพี่เล็กโชเฟอร์ของเราจะกรนตาม แล้วจะได้ไปช่องเย็นในโรงพยาบาลแทน
ระหว่างเส้นทางกรุงเทพ-นครสวรรค์ ไม่มีอะไรเล่าให้ฟัง เราใช้เวลาเดินทางไม่ถึงสองชั่วโมง พอเข้าเขตนครสวรรค์ พี่เล็กเติมน้ำมันจนเต็มถัง บอกว่าต้องเผื่อไว้เพราะในอุทยานฯ ไม่มีน้ำมัน เราต้องขับรถไปโน่นมานี่ไม่สำรองไว้เดี๋ยวแย่ ผมลงมาเดินเล่นรอบปั๊มหนึ่งรอบ มองดูเมืองนครสวรรค์ยามค่ำคืน โอ้! เมืองแห่งโมจิ ปากน้ำโพที่ลือลั่นตั้งแต่สมัยบรมครูมาลัย ชูพินิจ เคยเขียนไว้ในเรื่อง "แผ่นดินของเรา" ทุกอย่างเปลี่ยนไปเกือบหมด ครูมาลัยกลับมาดูอีกหนคงกลุ้มใจพิลึก
จากนครสวรรค์ พี่เล็กใช้เส้นทางไปสู่กำแพงเพชร พอเลยนครสวรรค์สัก 20 กิโลเมตร แกเลี้ยวซ้ายแยกจากถนนใหญ่ตามป้ายสู่อำเภอลาดยาว ถนนสายนี้แคบและมีหลุมบ่อ แต่พี่เล็กบอกว่าเป็นเส้นทางลัด ผมเชื่อใครไม่เชื่อ ดันไปเชื่อพี่เล็ก นั่งรถมาอีกชั่วโมงกว่ายังไม่ถึงสักที มันลัดยังไงเหรอพี่จ๋า? นิสิตผู้ทำหน้าที่เป็นโชเฟอร์ของรถอีกคันก็กลุ้มใจ เขานัดแนะกับพี่เล็กมาเสร็จสรรพ ขาไปใช้เส้นทางนี้ ขากลับไม่เชื่อพี่เล็กแล้ว ลองใช้อีกเส้นทางดีกว่า เลี้ยวออกทางอำเภอคลองขลุง ปรากฏว่าเร็วกว่ากันตั้งเยอะ สรุปแล้วใครจะมา กรุณาอย่าหลงผิดอย่างผม ขับรถไปตามถนนใหญ่มุ่งหน้าไปกำแพง เมื่อถึงอำเภอคลองขลุง เจอป้ายซ้ายมือเขียนว่า "อำเภอคลองลาน" เลี้ยวไปทางนั้น พอมาถึงคลองลาน สังเกตป้ายหรือถามทางชาวบ้าน อีกแค่ 15 กิโลเมตรก็ถึงที่ทำการอุทยานฯแล้วครับ
แม่วงก์อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพ ถ้าอากาศดีไม่มีฝนตก ขับรถ 3-4 ชั่วโมงน่าจะถึง (อย่าลืมนะครับ พวกผมวัยกำลังห้าว ขับรถเร็วกว่าชาวบ้าน เวลาถูกรถคันอื่นแซงรู้สึกโดนเหยียดหยาม เชื่อว่าหากประพฤติเช่นนี้ต่อไป คงไม่ได้แก่ตายแน่) ออกจากกรุงเทพเย็นวันศุกร์ทันถมเถ ขนาดผมออกมาตอนหัวค่ำ ผจญรถติดบานตะไท แวะกินข้าวอีกต่างหาก ยังมาถึงอุทยานฯแห่งนี้ไม่เกินเที่ยงคืน เราจ่ายเงินค่าธรรมเนียมเข้าอุทยานฯ เรียบร้อย คุณยามแย้มยิ้มต้อนรับพร้อมเปิดที่กั้นให้ จากด่านกั้นเข้าไปสัก 3-4 กิโลเมตร เส้นทางขึ้นเขานิดหน่อย เรามาถึงที่ทำการอุทยานฯแล้วครับ
ที่ทำการฯอยู่บนเชิงเขา ปรับแต่งพื้นที่ไว้อย่างดี มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตลอด 24 ชั่วโมง แม้พวกผมมาถึงกลางดึก พอจอดรถได้แป๊บเดียว พี่เค้ารีบเข้ามาถามไถ่ เมื่อทราบว่าเราจองบ้านไว้เรียบร้อยแล้ว แกพาพวกเราไปที่บ้าน บอกว่าเชิญเลยครับ บ้านหลังนี้อยู่ริมน้ำมีระเบียงสวยงาม นอนให้สบายนะครับ
ผมกับคณะพรรคกำลังจะขนของเข้าห้อง แต่ยังไม่ทันขน นายตี๋ เบิร์ดลีดเดอร์ หยุดยืนเงี่ยหูแล้วบอกว่าโอ้เสียงนก ผมได้ยินเสียงนก มันต้องเป็นนกกลางคืนแน่ เอาไฟมา มีไฟฉายมั้ย? ผมจะหานกกลางคืน เมื่อตี๋ได้ไฟฉาย ตี๋ก้มตี๋เงย ตี๋ทำท่าเหมือนหมาล่าเนื้อได้กลิ่นกระต่ายป่า ตี๋บุกดงหญ้าแบบไม่กลัวงูกัด ก่อนฉายไฟปราดเข้าให้ นกตัวหนึ่งที่เกาะอยู่หลังต้นไม้ โผล่หน้าออกมาจ๊ะเอ๋ไฟฉาย นกแสกแดง! ก้องบารมีที่ย่องตามตี๋ไปอย่างกระชั้นชิด กระซิบบอก แสกแดง!!! เย้...ดีใจจัง ว่าแต่มันหายากหรือเปล่า? เมื่อก้องพยักหน้าบอกว่าหายาก ผมค่อยกลับเข้าไปในรถเพื่อตะกุยหากล้องส่องทางไกล รื้อออกมาได้ยังไม่ทันยกขึ้นส่อง ฟุ่บๆๆ นกแสกแดงบินลับลา คุณนกเจ้าขา เจ้านกบ้า รอเดี๋ยวก็ไม่ได้
นกไปแล้ว แต่ข้าวของยังอยู่ รอช้าอยู่ไย ผมบงการให้นิสิตและสตาฟขนของ ส่วนตัวเองเดินเข้าไปเลือกที่นอน บ้านพักอุทยานฯ ที่นี่ใช้ได้เลยครับ มีระเบียงฟังเสียงน้ำในห้วยไหลกระฉอกตลิ่ง คืนนั้นผมนอนฟังเสียงน้ำไหลสลับกับเสียงกรนของพี่เล็กตลอดทั้งคืน ตื่นเช้ามาฮ้าสดชื่น ออกมาเดินโต๋เต๋ เห็นนายตี๋พาพรรคพวกลงไปที่ริมห้วย ท่าจะไปหากระเต็นขาวดำใหญ่ แต่ผมเชื่อมั่นแน่ว่าด้วยโชคชะตาของนายตี๋ คงไม่มีวันเจอ
ว่าแล้วเราเดินสำรวจที่ทำการฯ แม่วงก์ดีกว่า เค้าจัดสวนไว้สวยเชียวครับ มีไม้พุ่มตัดทำเป็นป้ายชื่อ สนามหญ้ากว้างเหมาะสำหรับกางเต็นท์ บ้านพักหลายหลังสร้างอยู่ริมห้วยสวยเก๋ ร้านอาหารสวัสดิการก็มี ราคาแพงกว่าร้านข้าวแกงข้างนอกเพียงนิดเดียว ในศูนย์นิทรรศการยังมีข้อมูลแหล่งท่องเที่ยวให้พร้อมสรรพ ถ้าคุณเป็นคนชอบดูนก มาที่นี่คงไม่ผิดหวัง เพราะแม่วงก์มีนกให้ดูไม่ต่ำกว่า 350 ชนิด
แล้วถ้าไม่ดูนกล่ะ? แม่วงก์ยังเหมาะสำหรับการท่องเที่ยวหลากรูปแบบ หนุ่มสาวเรอะ ต้องกางเต็นท์ครับ บ้านพักที่นี่หลังใหญ่เกินเหตุ อยู่บ้านคงโหวงเหวงน่าดู กางเต็นท์ฮันนีมูนกลางฝน ตื่นเช้าขึ้นมาเจ้าสาวถูกน้ำพัดหายไป เจ้าบ่าวคงสุขชะมัด (เหมาซองของขวัญในงานแต่งเป็นของเราแต่ผู้เดียว สุขหรือทุกข์ดีล่ะเนี่ย) ถ้าเป็นหนุ่มใหญ่มาแบบครอบครัว เหมาบ้านพักทั้งหลัง ปล่อยลูกหลานวิ่งไล่กันบนสนามหญ้า เรานั่งจิบเหล้าดูลูกหลานตกห้วย นั่นก็น่าจะสุข โดยเฉพาะถ้ามาหน้าหนาว แต่ต้องระวังสักนิด เสาร์อาทิตย์หรือวันหยุดราชการ ผู้คนอาจล้นหลาม หากเลี่ยงช่วงนั้นได้ ผมเชื่อว่าทุกคนคงชอบใจการมาพักผ่อนที่แม่วงก์
บางคนอาจต้องการกิจกรรมเพิ่มเติม แต่ไม่หวังจะไปให้ถึงช่องเย็น เพราะรถเก๋งไม่เอื้ออำนวย ผมแนะนำว่าอาจเดินเที่ยวตามริมห้วย หรือไปแก่งผาคอยนาง อยู่เลยที่ทำการฯไปไม่ถึง 2กิโลเมตร จะเดินไปก็ได้ ขับรถไปก็สะดวก แต่ผมไม่ยักไป เพราะรู้สึกว่าชื่อแก่งดูหมิ่นศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มีอย่างที่ไหนให้เราไปคอย นางนั่นจะสวยขนาดไหนก็มีสามีแล้ว ถ้าเปลี่ยนชื่อเป็น "แก่งคอยนางสาว" เมื่อไหร่รับรองไปแน่
สำหรับคุณที่ต้องการกิจกรรมเพิ่มมากขึ้น มานอนนี่สักคืน ตื่นเช้าค่อยเดินเที่ยวแก่ง ถึงบ่ายออกจากอุทยานฯ ไปเที่ยวน้ำตกคลองลานก็สนุก น้ำตกแห่งนั้นสูงใหญ่ ตั้งอยู่ไม่ไกลจากแม่วงก์ ถ้าถนนดีๆ ใช้เวลาเดินทางไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง เทคนิคไปก็ไม่ยาก แค่ขับรถกลับไปที่อำเภอคลองลาน สังเกตป้ายบอกทางไป "อุทยานฯ คลองลาน" แค่นั้นก็เรียบร้อย
ผมเดินคิดอะไรเพลินๆ จนไม่ได้ยินเสียงตี๋เรียก มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อนิสิตหนุ่มวิ่งเข้ามาจับมือถือแขน (ว้าย!) ลากผมให้ลงไปดูนกประหลาด ขณะนี้คณะพรรคกำลังชุลมุนดูอยู่อย่างสนุกสนานเป็นยิ่งนัก เมื่อเข้ามาใกล้ผมถึงร้องอ๋อ นกประหลาดที่ว่าคือเจ้าแสกแดง เมื่อคืนบินปิ๊วๆ ล่อนายตี๋ พอตะวันขึ้น นกกลางคืนที่ดีย่อมไม่บินพั่บๆ ท่ามกลางแสงแดดของประเทศใกล้เขตศูนย์สูตร เขาต้องหาที่พักผ่อนนอนหลับ
สำหรับเจ้าแสกแดงตัวนี้ ท่าทางแถวแม่วงก์จะเงียบสงบ ไม่ค่อยมีใครไปกวน แถมยังไม่มีวัดอยู่ใกล้ๆ (นกแสกชอบนอนตามวัดครับ) แสกแดงเลยตั้งหลักปักขาเกาะอยู่บนตอไม้ริมน้ำ นายตี๋บังเอิญเหลือบไปเห็น กระโดดโลดเต้นดีใจก่อนพาชาวคณะส่องกล้องดูอย่างใกล้ชิด ส่องจนสาสมอารมณ์หมายแล้วค่อยวิ่งขึ้นมาเรียกผมไปช่วยส่อง
จากเลนส์ใสปิ๊งทำจากแร่ซิลากาชั้นเริ่ดในประเทศออสเตรีย ผมมองเห็นแทบทุกขุมขนของแสกแดง ในใจภาวนาให้เปลี่ยนจากนกกลายเป็นอย่างอื่น (อย่างไหน? แฮ่ม! เดี๋ยวนี้เอาใหญ่แล้ว ชักทะลึ่ง น่าตีจริงเชียวเรานี่) ส่องไปนายตี๋ก็อธิบายไป นกแสกแดงเป็นนกที่ออกหากินเวลากลางคืน อาศัยอยู่ในป่าดงดิบ ป่าเบญจพรรณ และป่าพรุ มีถิ่นแพร่กระจายอยู่ทางตะวันตก ทางเหนือ ภาคใต้ และบางส่วนของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จัดเป็นนกประจำถิ่นหายาก อาหารที่ชอบคือแมลงและสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก เช่น กิ้งก่า ตุ๊กแก
บางครั้งเขาก็กินพวกสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมขนาดเล็ก เช่น หนู เพื่อการจับเหยื่ออันรื่นรมย์ นกแสกแดงมีนิ้วเท้าที่แข็งแรงและเล็บที่แหลมคมเหมือนเท้าเหยี่ยวไว้สำหรับขยุ้มเหยื่อ ก่อนใช้จะงอยปากที่โค้งเหมือนเคียวฉีกทึ้ง ตัวอย่างเห็นง่าย น่าน...นั่น! เห็นมั้ยครับ ที่บนตอไม้ใกล้ที่เกาะของนายแสกแดง มีตุ๊กแกคอขาดนอนตายอยู่หนึ่งตัว เชื่อว่าตุ๊กแกตัวนี้ถูกแสกแดงจับกิน พอกินส่วนหัวหมด พุงแสกแดงก็เป่ง เลยเก็บตัวตุ๊กแกไว้กินต่อมื้อหน้า จัดเป็นนกที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลกว่าผู้บริหารประเทศบางคน
ชมแสกแดงเสร็จสรรพ ถึงเวลาเดินทางต่อ จากที่ทำการฯ ขึ้นไปจนถึงช่องเย็น ระยะทาง 28กิโลเมตร เป็นทางขึ้นเขาตามถนนสายคลองลาน-อุ้มผาง ที่ปัจจุบันเปิดให้บริการถึงแค่ช่องเย็น เลยจากนั้นห้ามเข้าจ้ะ ถึงอยากเข้าก็เข้าไม่ได้ เพราะป่ากลืนถนนไปหมดแล้ว ผมกระโดดขึ้นรถมีพี่เล็กเป็นโชเฟอร์ พอเราเลี้ยวออกจากที่ทำการฯ ได้หน่อยก็เจอด่าน ใครจะขับรถขึ้นไปต้องขออนุญาตให้เรียบร้อย เมื่อเช้าพี่เล็กแอบไปติดต่อศูนย์บริการนักท่องเที่ยวมาแล้ว จึงไม่มีปัญหาอะไร เมื่อผ่านด่านไปสักหน่อย ถนนเริ่มแคบคดโค้งขึ้นเขา ผมคิดถึงถนนไปแก่งกระจานขึ้นมาทันที
จะว่าไปแล้ว ไปเที่ยวช่องเย็นกับไปเที่ยวแก่งกระจานมีส่วนคล้ายกันหลายอย่าง (แก่งกระจาน - ในที่นี้หมายถึงอุทยานฯ ไม่ใช่เขื่อนนะครับ) ถนนขึ้นเขาทั้งสองแห่งไม่เปิดให้บริการตอนกลางคืน ต้องขึ้นกลางวัน ที่แตกต่างคือการไปแก่งกระจานต้องขึ้นลงเป็นเวลา เพราะถนนแคบรถสวนกันลำบาก แต่ที่ช่องเย็นขึ้นลงได้ตลอดวัน ถนนยังอยู่ในสภาพดีกว่านิดหน่อย พอให้รถสวนกันได้
ข้อดีประการหนึ่งของการเที่ยวช่องเย็น คือ ช่วงนี้ไม่ค่อยมีคนไป อาจเป็นเพราะอยู่ไกลกรุงเทพมากกว่า ผิดกับแก่งกระจานที่เสาร์อาทิตย์เกือบเป็นเหมือนตลาดนัด ผู้คนเยอะแยะ บางทีขับขึ้นเขามีรถต่อกันสิบกว่าคัน ขณะที่ทริปสู่ช่องเย็นของผม ไม่มีรถขึ้นเขาสักคันยกเว้นรถของพวกเรา ทั้งที่เป็นวันเสาร์นะเนี่ย
สูงๆ ขึ้นไป ชาวคณะแวะจอดดูนกสองข้างทางเป็นระยะ อันนี้ก็เหมือนครับ เพราะไปเที่ยวแก่งกระจานใช้เทคนิคดูนกตามถนน บางหนอาจเจอสัตว์ป่า เช่น เสือดาว อย่างที่พี่เล็กเคยเจอและเคยเล่าในคอลัมน์ของแกไปสักหนึ่งปีมาแล้ว เส้นทางขึ้นช่องเย็นมีเสือดาวเช่นกัน เพื่อนผมเพิ่งจ๊ะเอ๋ไปเมื่อไม่นานมานี้ แต่ครั้งที่เราไป ผมเป็นคนโชคร้ายในเรื่องสัตว์ๆ สรุปแล้วเลยไม่เจออะไรยกเว้นนก
ผมกับพี่เล็กรุดหน้ามาก่อน ปล่อยให้ชาวคณะขับรถตู้ตามหลัง เราผ่านเส้นทางลาดยางแต่มีหลุมบ่อ บางหนก็เป็นทางดินเละๆ ที่เขากำลังทำทาง ฝนที่ตกลงมาทำให้ดินลื่นปรู๊ดปร๊าด ถ้าเป็นถนนธรรมดาอย่างดีก็ตกคูข้างทาง แต่ที่นี่ข้างทางคือเหวนรก มองลงไปสูงไม่ต่ำกว่า 50 เมตร ขอบถนนมีต้นหญ้าคาหรอมแหรม ไม่มีที่กั้นใดๆ แม้กระทั่งต้นไม้ ช่วงนี้เลยลุ้นหนักหน่อยกว่าจะตะลุยผ่านมาได้ ทางตรงนั้นยาวแค่ 2-3 กิโลเมตร แต่สร้างความหวาดเสียวได้ดีแท้
ในที่สุด เราเริ่มใกล้ยอดเขา ช่องเย็นเป็นจุดสูงสุดของถนนคลองลาน-อุ้มผาง ที่ระดับความสูง 1,340 เมตร สูงกว่าภูกระดึงนิดหน่อย อากาศย่อมเย็นแน่ ผมเปิดหน้าต่างยื่นมือออกไป ยังไม่เท่าไหร่แฮะ มันจะเย็นแค่ไหนเชียว ระดับเราผ่านอินทนนท์มาแล้ว ยอดเขาสุดสูงในนิวซีแลนด์ก็เคยไป ช่องเย็น?...อ่อน!!!
พ้นโค้งขึ้นเนินสุดท้าย ภาพช่องเย็นโผล่มาตรงหน้า ผมจึงเพิ่งรู้ตัวว่า อย่าได้คิดเอายอดดอยอินทนนท์ นิวซีแลนด์ ฯลฯ มาเปรียบเทียบกับช่องเย็นเป็นอันขาด ที่นี่ไม่เหมือนที่ไหน...เพราะเมืองในหมอกของประเทศไทย ไม่ได้มีที่แม่ฮ่องสอนเพียงแห่งเดียว ที่นี่ก็มี และไม่ได้มีเพียงหมอก แถมเมฆให้อีกด้วย
อยากให้คุณหลับตาคิดภาพครับ เทือกเขาสูงเป็นพืดของดินแดนแห่งผืนป่าตะวันตก ถนนสายคลองลาน-อุ้มผางลัดเลาะมาตามหุบเขา จนชนแป้กเข้ากับเขาสูงลูกหนึ่ง ไม่มีหุบผ่าน ถนนเลยต้องตัดขึ้นสู่ยอดเขาที่ลักษณะเป็นเนิน กว้างสักเท่าสนามฟุตบอล ล้อมรอบด้วยหลายยอดเขาที่สูงกว่า เนินนี้แหละครับที่ตั้งของช่องเย็น มองลงไปด้านล่างเป็นหุบเขาสวยเชียว ลมที่พุ่งมาตามหุบเขา เมื่อปะทะกับเนินเขาช่องเย็น จะหลบซ้ายขวาก็มียอดเขาอื่นคอยบังอยู่ ลมเลยถูกบังคับให้พัดผ่านช่องเย็นดังหวือๆ
บังเอิญหน้าฝนไม่ได้มีแต่ลม แต่บนฟ้ามีเมฆด้วย ลมพาเมฆพุ่งขึ้นผ่านช่องเย็น สร้างบรรยากาศเมืองในเมฆตลอดเวลา พอฟ้าโปร่ง เราจะเห็นวิวข้างหน้าสักแป๊บ จากนั้นก็มาแล้ว ลมพัดเมฆลอยมาตามหุบเขาเห็นถนัดตา สักเดี๋ยวลอยหวือขึ้นมาบนช่องเย็น พุ่งผ่านสนามหญ้า รถ ต้นไม้ และบ้านพัก ความชื้นในอากาศแค่ไหนข้าพเจ้าไม่ทราบ แต่ที่ทราบคือสูงปรี๊ด สูงจนเกือบเป็นร้อยเปอร์เซนต์มั้งครับ ขนาดมุ้งลวดที่บ้านพักยังใช้มุ้งลวดพลาสติก มีหยดน้ำเกาะพราว ไถ่ถามเจ้าหน้าที่แล้วได้ความว่ามุ้งลวดธรรมดาใช้ได้ไม่นานสนิมกินพังหมด
รถโฟร์วีลของเราจอดอยู่บนสนามหญ้า เมฆพัดมาเป็นก้อนๆ พี่เล็กไปหาเจ้าหน้าที่เพื่อติดต่อที่พัก ผมก้าวลงมามองบรรยากาศซ้ายขวา เงียบสงบสุดบรรยาย ทั่วช่องเย็นไม่มีใครเลยทั้งที่เป็นวันเสาร์ เสียงนกร้องจิ๊บดังมาจากราวป่าด้านล่าง บรรยากาศตอนนี้สุขสงบแปลกประหลาด จนแทบไม่น่าเชื่อว่าที่นี่คือเมืองไทย จะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียง คงเหมือนชนบทประเทศอังกฤษมั้งครับ ชั่วแต่ว่าอากาศเย็นกว่า (เคยไปแล้ว ไม่ใช่ตู่เอา แต่ไปมาเมื่อยี่สิบห้าปีที่แล้ว สมัยนั้นเป็นเด็กเกเร ถูกคุณพ่อส่งไปฝึกงานนานสามเดือน เศร้ามากครับ)
ผมสูดหายใจเข้าปอดเฮือกใหญ่ ชีวิตช่างมีสุข แล้วจะมีสุขมากขึ้นถ้า...ถ้า เสียงหวือๆๆ ดังมาจากด้านหลัง นายกั๊กที่ยืนอยู่ข้างผมร้องออกมา "อาจ้าน!!! นกเงือกคอแดง" ผมหันขวับกลับไป เงาดำสองเงาร่อนผ่านกลางสายหมอก ลงเกาะที่ตอไม้เหนือหลังคาบ้าน ห่างจากจุดที่ผมยืนไปไม่เกิน 20 เมตร ขนาดของเงาใหญ่จนหมดสงสัยว่าเป็นตัวอะไร? ทั้งป่านกใหญ่ขนาดนี้นอกจากอีกา 5 ตัวบินต่อกันแล้ว คงมีแต่นกเงือกเท่านั้น แล้วกั๊กรู้ได้ไงว่าเป็นนกเงือกคอแดง สุดยอดนกเงือกของเมืองไทยล่ะ?
(โปรดติดตามตอนที่จบ)