นครศรีธรรมราช - ตำรวจนครศรีฯ ร่วมกับราชทัณฑ์ ปฏิบัติการกลางดึก จู่โจมเรือนจำนครศรีธรรมราช ล็อกตัวผู้คุม ปูพรมค้นแดนตัวเอ้ ยึดโทรศัพท์มือถือกว่า 300 เครื่อง ยาบ้านับพันเม็ด ไอซ์ราว 1 กก. รองอธิบดียันเด้ง ผบ.เรือนจำ เจ้าตัวเสียงอ่อยรับสารภาพ “พยายามแล้วแต่แพ้อำนาจเงิน” ผบก.เผยเกลือเป็นหนอนส่งข้อความเตือนนักโทษล่วงหน้า เตรียมขยายผลคาดยึดทรัพย์นับร้อยล้าน
วันนี้ (22 เม.ย.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ บก.ภ.นครศรีธรรมราช สนธิกำลังกับหน่วยคอมมานโด ราชทัณฑ์กว่าครึ่งพันนาย ย่องเงียบบุกยึดเรือนจำนครศรีธรรมราช ล็อกตัวเจ้าหน้าที่เรือนจำก่อนค้นได้ของต้องห้าม ยาเสพติดจำนวนมาก ปฏิบัติการครั้งนี้เริ่มขึ้นเมื่อเวลา 03.00 น. ของวันที่ 22 เม.ย.55 นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช พล.ต.ต.สันติ เพ็ญสูตร ผบช.ภ.8 นายชลัยสิน โพธิเจริญ ผอ.ป.ป.ส.ภ.8 พล.ต.ต.รณพงศ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ได้ระดมกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่า 600 นาย โดยได้สนธิกำลังเพิ่มเติมกับสารวัตรทหารจาก มทบ.41 เจ้าหน้าที่ตำรวจตระเวนชายแดนจาก กก.ตชด.42 และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองได้เข้าทำการตรวจค้นเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช โดยที่เจ้าหน้าที่เรือนจำไม่รู้ตัวมาก่อน
โดยการปฏิบัติการเริ่มขึ้นโดย นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ได้นำกำลังคอมมานโดกรมราชทัณฑ์กว่า 30 นายบุกเข้ายึดเรือนจำโดยเริ่มจากป้อมยามรักษาการณ์หน้าเรือนจำ และประตูเรือนจำชั้นปลดเครื่องมือสื่อสารของเจ้าหน้าที่ จากนั้นได้เริ่มให้กำลังเจ้าหน้าที่คอมมานโดที่เหลือ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจอีกกว่า 500 นายจู่โจมเข้าไปค้นเรือนจำในแดนที่ 4, 5 และ 6 ซึ่งเป็นแดนที่มีนักโทษกลุ่มเป้าหมาย นักโทษค้ายาเสพติด และนักโทษเด็ดขาดถูกคุมขังอยู่ภายใน ที่กำลังนอนหลับไม่รู้ตัวมาก่อน
ท่ามกลางความตื่นตระหนกของเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ที่อยู่ภายในเรือนจำที่ไม่รู้ตัวมาก่อนเช่นเดียวกัน หลังจากที่เจ้าหน้าที่ได้เข้าทำการตรวจค้น จนถึงเวลา 9 นาฬิกาของเช้าวันเดียวกัน การตรวจค้นจึงแล้วเสร็จ โดยสามารถตรวจยึดสิ่งของต้องห้ามหลายรายการ อาวุธ โทรศัพท์มือถือ ยาเสพติด ได้เป็นจำนวนมาก โดยทำบันทึกตรวจยึดแบบที่มีเจ้าของ และไม่ปรากฏเจ้าของ โดยต้องใช้รถเข็น เข็นของกลางที่ตรวจยึดทั้งหมดออกมา ถึง 5 คัน ในการตรวจค้นนั้นได้มีนายณรงค์ ยงค์ณรงเดชกุล ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช มาร่วมในการตรวจค้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
ต่อมา เจ้าหน้าที่ได้นำของกลางทั้งหมดมาแยกแยะประเภทพบว่า มีอุปกรณ์สื่อสารจำนวนมากโดยเฉพาะโทรศัพท์มือถือประมาณ 300 เครื่อง ในจำนวนนี้ มีแท็บแล็ตยี่ห้อต่างๆ และไอโฟนนับสิบเครื่อง อุปกรณ์ชาร์จแบตเตอรี่แบบดัดแปลงเองจำนวนมาก ยาเสพติดประเภท 1 (ยาบ้า) ประมาณ 1,700 เม็ด ยาไอซ์ ซึ่งอยู่ในระหว่างการตรวจสอบน้ำหนักประมาณด้วยสายตาราว 1 กก. อุปกรณ์เสพยาไอซ์ อุปกรณ์เสพยาบ้า จำนวนหลายสิบอัน อาวุธมีด ของมีคมดัดแปลง เหล็กขูดชาร์ป อุปกรณ์เล่นการพนันดัดแปลงทำเองจำนวนมาก
นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ เปิดเผยว่า การปฏิบัติการครั้งนี้ได้ประสานข้อมูลกับ ผบก.นครศรีธรรมราช มาระยะหนึ่งแล้ว โดยจะนำเสนอไปยังอธิบดีกรมราชทัณฑ์ให้รูปแบบการปฏิบัติหน้าที่แบบเรียกว่านครศรีธรรมราชโมเดลเป็นต้นแบบในการปราบปรามของต้องห้ามในเรือนจำทั่วประเทศ โดยการดำเนินการนั้น ขณะนี้จะต้องย้าย ผบ.เรือนจำนครศรีธรรมราช และขณะนี้ได้ตัว ผบ.เรือนจำนครศรีธรรมราชคนใหม่แล้วคือนายสุรพล แก้วภราดัย มาดำรงตำแหน่งแทน
ขณะที่นายณรงค์ ยงค์ณรงเดชกุล ผบ.เรือนจำกลางนครศรีธรรมราช มีสีหน้าเคร่งเครียดได้กล่าวเปรยกับ ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช ต่อหน้าผู้สื่อข่าวว่า ได้พยายามดำเนินการแล้วแต่ยอมรับว่า “แพ้อำนาจเงิน”
พล.ต.ต.รณพงศ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช เปิดเผยว่า เจ้าหน้าที่ได้ทำข้อมูลมาหลายเดือนติดต่อกันแล้วก่อนที่จะเข้าค้นวันนี้ แต่เป็นที่น่าเสียดายว่าข่าวรั่ว เนื่องจากพบโทรศัพท์มือถือของนักโทษเครื่องหนึ่งมีข้อความแจ้งว่า “อีก 2 ชั่วโมงคอมมานโดจะเข้าตรวจค้นเรือนจำ” ทำให้สิ่งของที่ละลายได้ เช่น ยาเสพติด ซึ่งทราบว่ามีเป็นกิโลกรัมถูกทำลายไปเป็นจำนวนมาก เข้าใจว่าราดลงโถส้วม แต่อย่างไรก็ตาม ที่ส่วนที่เหลือนั้นเราได้มาจำนวนมากเป็นที่น่าพอใจ
“โทรศัพท์ที่นำเข้าไปนั้นบอกได้เลยว่า มีเจ้าหน้าที่บางคนนำเข้าไปให้ มีค่านำเข้าไป เครื่องละ 30,000 บาท 10 เครื่องก็ 3 แสนบาท มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องพัวพันอย่างน้อยกว่า 10 ราย ซึ่งเจ้าหน้าที่กำลังทำข้อมูลมัดตัว และขอออกหมายจับ ส่วนผู้ต้องขังที่เป็นตัวเอ้ระดับค้ายาคราวละหลายล้านบาทนั้นมีอยู่ 2 คน ส่วนอื่นๆ นั้นเป็นรายกลาง และรายย่อย ผมเชื่อว่าหากจัดการเรือนจำได้ทั่วประเทศเช่นนี้ การค้ายาเสพติดในประเทศไทยจะลดลงกว่าครึ่ง” ผบก.นครศรีธรรมราช ระบุ
ขณะที่นายวิโรจน์ จิวะรังสรรค์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช กล่าวว่า จะต้องสับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่ภายในเรือนจำด้วย ไม่เช่นนั้นจะมีปัญหาเช่นนี้กลับมาอีกอย่างแน่นอน
พล.ต.ท.สันติ เพ็ญสูตร ผบช.ภ.8 เปิดเผยว่า ผู้ค้ายาเสพติดในเขต ภ.8 นั้นเมื่อจับกุมได้ส่วนใหญ่แล้ว จะสารภาพว่าสั่งซื้อจากเรือนจำกลางนครศรีธรรมราช ส่วนการนำโทรศัพท์ หรือยาเสพติดเข้าไปนั้นมีทั้งเข้าทางประตู และขว้างข้ามกำแพงเข้าไป ซึ่งจะต้องเร่งสืบสวนสอบสวนขยายเรื่องนี้ออกไป
อย่างไรก็ตาม มีรายงานเพิ่มเติมว่า โทรศัพท์ที่เจ้าหน้าที่ตรวจยึดมาได้นั้นทุกเครื่องจะมีรหัสในการเข้าใช้ และเมื่อเปิดเครื่องจะมีสายเรียกเข้ามาอยู่ตลอดเวลา เมื่อเจ้าหน้าที่รับสายทำทีบอกว่าของยังไม่พร้อม ปลายสายจะวางสาย และบางเครื่องเมื่อรับแล้วบอกว่าเจ้าของไปห้องน้ำ ปลายสายจะบอกว่าจะคุยกับเจ้าของแล้วไม่ยอมคุยต่อ
ส่วนเครื่อง ไอโฟน หรือ แบล็กเบอรี นั้นจะมีการส่งข้อความทาง “วอตแอป” แจ้งการโอนเงิน และ “สั่งของ” มาเป็นระยะๆ ส่วนกระบวนการที่ส่งโทรศัพท์เข้าไปขายในเรือนจำนครศรีธรรมราชแบบธรรมดามีราคาเครื่องละประมาณ 2-2.5 แสนบาท ส่วนโทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟน มีราคาตกเครื่องละ 3-3.5 แสนบาท หากคิดเป็นเม็ดเงินที่สะพัดตามจำนวนเครื่องโทรศัพท์ที่ตรวจยึดได้นั้น จะมีมูลค่าที่ใช้จ่ายกันในการซื้อขาย และค่าใช้จ่ายรายทางในการนำเครื่องโทรศัพท์ไปจนถึงมือนักโทษอยู่ที่ประมาณ 70-150 ล้านบาท ส่วนค่าเช่าใช้โทรศัพท์จากนักโทษด้วยกันตกอยู่ที่ครั้งละ 1 หมื่น ถึง 1.8 หมื่นบาท