ASTV ผู้จัดการรายวัน – ในที่สุดก็ถึงวันชี้ชะตาสำหรับปฏิบัติการล่าฝัน “ฟุตบอลโลก 2014” โดยทีมชาติไทยจะลงสนามนัดสุดท้ายในรอบคัดเลือก โซนเอเชีย รอบสาม ด้วยการบุกไปเยือน โอมาน ที่สนามสุลต่าน กาบูส สปอร์ตส คอมเพล็กซ์ ในกรุงมัสกัต เย็นวันนี้ (29 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2555) ตามเวลาท้องถิ่น 13.30 น. (เวลาไทย 16.30 น.) ซึ่งหากหวังไปต่อต้องลุ้นชนิดหืดขึ้นคอถึง 2 เด้ง คือ คว้าชัยให้ได้พร้อมทั้งภาวนาให้ ออสเตรเลีย ซึ่งลอยลำไปแล้วช่วยปราบ ซาอุดิอาระเบีย อีกด้วยจึงจะผ่านเข้ารอบควอลิฟาย 10 ทีมสุดท้ายในฐานะทีมอันดับ 2 ของกลุ่มดี โดยเวลานี้ ออสเตรเลีย มี 12 คะแนน ซาอุฯ มี 6 คะแนน โอมาน มี 5 คะแนน และ ไทย มี 4 คะแนน
ทว่า สภาพความพร้อมของทัพ “ช้างศึก” ในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้ทำให้แฟนบอลชาวไทยอุ่นใจสักเท่าไหร่ นอกจาก ชลทิตย์ จันทคาม, รังสรรค์ วิวัฒน์ชัยโชค และ ธีราทร บุญมาทัน3 ตัวหลักจะติดโทษแบนแล้วยังประสบปัญหาผู้เล่นบาดเจ็บถอนตัวไปหลายคนทั้ง ดัสกร ทองเหลา, ณัฐพร พันธุ์ฤทธิ์, ภานุพงศ์ วงศ์ษา, ณัฐพงษ์ สมณะ จนต้องเรียก สุธี สุขสมกิจ และ สมภพ นิลวงษ์ เข้ามาเสริมทัพเป็นการด่วนก่อนออกเดินทาง แต่ยังโชคดีที่ “มุ้ย” ธีรศิลป์ แดงดา ศูนย์หน้าตัวความหวังสามารถฟิตกลับมาทันช่วยทีมได้
อย่างไรก็ดี วินฟรีด เชเฟอร์ กุนซือชาวเยอรมันยังยืนยันว่าหาทางจัดการกับปัญหาที่เกิดขึ้นได้ “ปัจจัยหลักที่จะทำให้เราชนะ โอมาน ได้คือ ทีมเวิร์ค ซึ่งผู้เล่นแสดงให้เห็นถึงการร่วมแรงร่วมใจกันเป็นอย่างดี ทุกคนมีความมุ่งมั่นอย่างมาก และที่ผ่านมาผมได้ทดลองผู้เล่นใหม่ในคิงส์ คัพ ทำให้พวกเขาจะเป็นตัวแปรสำคัญในเกมนัดตัดสิน ขณะที่ โอมาน มีจุดเด่นอยู่ที่แดนกลางซึ่งสามารถสร้างสรรค์เกมรุกไปสู่แดนหน้าได้ดี โดยเฉพาะ ฟาวซี บาเชียร์ นักเตะหมายเลข 10 ดังนั้น เราจะต้องจัดการเกมตรงกลางสนามให้ได้ เพราะนี่จะเป็นพื้นที่สำคัญในการโจมตี”
“วินนี” กล่าวต่อไปว่า “ที่ผ่านมาเราเน้นการฝึกซ้อมแดนกลางมากเป็นพิเศษ เนื่องจากต้องการให้ผู้เล่นรู้จักการเอาตัวรอดในสถานการณ์บีบบังคับซึ่งพวกเขาทำได้ดี อย่างไรก็ตาม การเจอกับ โอมาน จะเป็นเกมที่ยากไม่น้อย ดังนั้นสิ่งที่เราต้องมีเช่นเดียวกันนั่นคือเราต้องมีโชคเข้าข้าง เพราะหากเราจะผ่านเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายก็ต้องลุ้นผลที่ ออสเตรเลีย ด้วย ซึ่งผมหวังว่าทุกอย่างจะเป็นใจให้กับเรา”
ขณะที่ ปอล เลอ กูเอ็น นายใหญ่ชาวฝรั่งเศสของ โอมาน ที่ข่มขวัญ ไทย ด้วยการอุ่นเครื่องถล่ม อินเดีย 5-1 ก็บอกว่า “การเอาชนะ ไทย ไม่ใช่เรื่องง่ายเสียทีเดียว แต่เราต้องการที่จะล้างแค้นให้ได้หลังจากบุกไปแพ้พวกเขาถึง 0-3 ซึ่งเราจะเล่นเกมรุกแน่นอนหลังจากที่แดนหน้าทำผลงานได้ดีกับ อินเดีย ส่วนการลงเตะในเวลา 13.30 น. ไม่เป็นปัญหาสำหรับเรา เพราะได้ให้ผู้เล่นทำความคุ้นเคยด้วยการอุ่นเครื่องกับ อินเดีย ในเวลาเดียวกันแล้ว”
ส่วนคู่ที่เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญอย่าง ออสเตรเลีย-ซาอุดิอาระเบีย ด้าน โฮลเกอร์ โอเซียค กุนซือ “ซอคเกอรูส์” และ ลูคัส นีลล์ กองหลังกัปตันทีมกล่าวเป็นเสียงเดียวกันว่า “แม้จะเข้ารอบไปแล้ว แต่เรายืนยันว่าจะเต็มที่ในทุกนัดที่ลงสนาม เพื่อให้ผลงานออกมาสมบูรณ์แบบที่สุดด้วยการเก็บชัยชนะในบ้านทั้ง 3 นัดก่อนเล่นรอบต่อไป” ขณะที่ แฟรงค์ ไรจ์การ์ด ผู้จัดการทีม “ลูกทะเลทราย” ก็เอ่ยอย่างมั่นใจว่า “คราวก่อนเราแพ้ในบ้าน 1-3 เนื่องจากนักเตะอยู่ในช่วงถือศีลอด แต่เกมนี้พวกเขามีสภาพร่างกายที่ฟิตสมบูรณ์กว่าเดิม ตลอดจนมีความมุ่งมั่นที่จะผ่านเข้ารอบต่อไป ซึ่งผลการแข่งขันที่ออกมาจะแตกต่างไปอย่างแน่นอน”
ทั้งนี้ หากขุนพลลูกหนังช้างศึกทะลุเข้ารอบ 10 ทีมสุดท้ายของโซนเอเชียได้จะถือเป็นผลงานเทียบเท่ากับที่เคยทำได้ในฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือกเมื่อ 11 ปีที่แล้ว พร้อมทั้งรับเงินอัดฉีดก้อนโต 12 ล้านบาทตามที่ วรวีร์ มะกูดี นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยฯ เคยให้สัญญาไว้ รวมทั้ง อนุชา นาคาศัย ผู้จัดการทีมที่ประกาศบวกเพิ่มอีก 3 ล้านบาท ขณะที่ เชเฟอร์ น่าจะได้รับการยกย่องว่าเป็นพ่อมดแห่งประวัติศาสตร์ฟุตบอลไทยสมกับที่ได้ฉายาจากสื่อมวลชนสายกีฬาว่า “วินนี พอตเตอร์”
แต่ถ้าเส้นทางสายเวิลด์คัพของไทยยุติลงเพียงเท่านี้ ชะตาของโค้ชวัย 62 ปีก็ยังไม่ขาดสะบั้น เนื่องจาก “บังยี” ได้มอบหมายให้วางระบบฟุตบอลไทยทุกระดับ และจะประเมินผลงานอีกครั้งหลังจบศึกเอเอฟเอฟ ซูซูกิ คัพ 2012 ในเดือนธันวาคมนี้ อย่างไรก็ตาม เรายังไม่อาจเดาใจ เชเฟอร์ ได้ว่าจะอยู่ทำหน้าที่ต่อหรือไม่ เพราะที่ผ่านมาก็เจอปัญหาเรื่องการบริหารงานบกพร่องหลายอย่างของสมาคมฯ ไม่ว่าจะเป็น การจัดเกมอุ่นเครื่อง, การวางโปรแกรมฟุตบอลในประเทศที่สับสนจนกระทบต่อการเตรียมทีมชาติ และล่าสุดก็มีการลืมพาสปอร์ตไว้ที่สมาคมฯ จน 4 แข้งบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด เกือบตกเครื่องไป โอมาน ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องติดตามหลังทราบผลเกมกับโอมานต่อไป