ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ยิ่งนับวันปัญหาใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นับวันจะยิ่งทวีคูณความรุนแรงไม่หยุดหย่อน ก่อนที่จะเกิดวินาศกรรมในครั้งนี้ สังคมก็ได้ยินข่าว ชาวบ้าน ครู ข้าราชการ เจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจถูกระเบิด ถูกยิงแทบจะเป็นรายวัน
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัญหา 3 จังหวัดภาคใต้ไม่ใช่เรื่องที่จะแก้ไขได้ภายในห้วงเวลาสั้น แน่นอนว่าต้องใช้เวลา นั่นก็เป็นเรื่องที่พอเข้าใจได้ในระดับหนึ่ง แต่เมื่อพิจารณาด้วยความเป็นธรรมในการทำงานของรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และบรรดาผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยแล้ว ดูจะยิ่งหลงทิศหลงทางเข้ารกเข้าพงอีกต่างหาก
กล่าวสำหรับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั้น คงต้องบอกว่ายังคงแสดงสติปัญญาอันอ่อนด้อยได้อย่างคงเส้นคงวาไม่มีเปลี่ยนแปลง เพราะนอกจากจะไม่ได้แสดงภาวะผู้นำประเทศในห้วงเวลายามวิกฤตเช่นนี้ แต่เธอกลับปล่อยไก่ตัวเบ้อเร่อในการตอบคำตอบถึงเรื่องนี้ ชนิดที่ไม่น่าให้อภัยเลยแม้แต่น้อย
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุ กว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการเกษตรและสหกรณ์ พร้อมคณะ จะเดินทางลงไป ก็ปาเข้าไปของบ่ายวันที่ 2 เมษายน แถมตัว นายกฯนกแก้ว ก่อนหน้าก็ไม่ได้มีท่าทีกระตือรือร้นจะลงไปตรวจพื้นที่โดยฉับพลันด้วยซ้ำ เพราะว่ากันว่าเ ธอยังมีหมายประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ที่ต้องไปเยือนประเทศกัมพูชา แต่ด้วยการถูกกดดันอย่างหนัก จึงทำให้จำใจต้องลงไปดูพื้นที่ด้วยตัวเอง และคงต้องบันทึกไว้ว่าเป็นวันที่เธอต้องอับอายขายขี้หน้าไปจนตายเลยทีเดียว
“ก่อนอื่นต้องของแสดงความเสียใจกับญาติผู้เสียชีวิต และผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ สำหรับภารกิจวันนี้ที่เป็นห่วงคือ อย่างน้อยอยากมาเห็นสถานที่เกิดเหตุด้วยตัวเอง และมาให้กำลังใจชาวจังหวัดหาดใหญ่”
ตามมาด้วย ...
“จุดผ่านแต่ละจุดตั้งแต่สนามบิน และเส้นทางที่คมนาคมต่างๆ รวมถึงสถานที่พัก โรงแรม โรงพยาบาล หรือส่วนต่างๆ ที่มีบริเวณเป็นที่สาธารณะ ก็จะมีการบูรณาการเจ้าหน้าที่ตำรวจในการดูแลความปลอดภัยให้แก่ประชาชนที่อยู่บริเวณแถบนี้ และจังหวัดหาดใหญ่ด้วย”
... พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ทำเอาประชาชนทั่วทั้งประเทศตลกไม่ออกไปตามๆ กัน เพราะใครจะไปเชื่อว่า ผู้สำเร็จปริญญาตรีจากม.เชียงใหม่ และปริญญาโทจาก ม.เคนทักกีสเตต สาขารัฐประศาสนศาสตร์ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังของประเทศสหรัฐอเมริกา จะแสดงสติปัญญาอันเบาปัญญา ด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า จังหวัดหาดใหญ่ ซึ่งความจริงแล้วใครก็รู้กันดีว่าเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสงขลา แต่ดันกลับกลายเป็นจังหวัดที่ 78 ของประเทศไทยไปแบบหน้าตาเฉย ซ้ำร้ายเป็นการผิดแบบติดต่อกันสองครั้งภายในเวลาไม่ถึงนาที
นอกจากนั้น สิ่งตอกย้ำความเบาปัญญาของ นายกฯ นกแก้ว อีกอย่างหนึ่งก็คือ การให้สัมภาษณ์ชนิดไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เมื่อถูกนักข่าวถามว่า ข้อมูลการข่าวจะมีเหตุการณ์ระลอก 2 และ 3 อีกหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ตอบแบบชัดถ้อยชัดคำอีกครั้งว่า เราต้องทำทั้ง 2 อย่าง ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่กลุ่มใหญ่มาก
นี่คือ สติปัญญาของ นายกฯ นกแก้วผู้ไม่เคยรู้ประสีประสาอะไรเลย ถามว่าหากเป็นโจรกระจอกจริง จะกล้าลงมืออุกอาจถึงขนาดทำคาร์บอมบ์กลางเมืองหาดใหญ่ จนถึงขั้นสามารถกล่าวได้ว่า เป็นวินาศกรรมเชิงสัญลักษณ์ก็ไม่น่าจะผิดเพี้ยนเท่าใดเลย
ทั้งนี้ ก็เพิ่งจะเข้าใจว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ช่างเป็นเสมือนโคลนนิ่งของ นช.ทักษิณ เสียเหลือเกิน หากย้อนกลับไปจุดกำเนิดของความรุนแรงในปัญหาชายแดนใต้ ก็หาใช่เกิดจากใคร ก็เป็น ยุคตอน นช.ทักษิณ เรืองอำนาจ ที่เกิดเหตุปล้นค่ายทหาร กองพันพัฒนาที่ 4 อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อ 4 ม.ค.47 เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างอุกอาจชนิดที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่ง นช.ทักษิณ ก็เคยหยันว่าเป็นแค่ “โจรกระจอก” มาวันนี้ ปัญหาชายแดนใต้ในยุค น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่อ่อนไหว และซับซ้อนมากกว่าเดิมหลายเท่าตัว และยิ่งมาเจอคำว่า “โจรกระจอก” เข้าไปอีก มันก็พิสูจน์ให้เห็นว่า คนตระกูลชินวัตรทั้งสอง ได้ทำลายภาคใต้จนเป็นมิคสัญญีหนักกว่าเดิมเข้าไปอีก
อย่างไรก็ดี หากกล่าวถึงการแก้ปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ก่อนจะเกิดเหตุวินาศกรรม แนวทางการแก้ปัญหาก็ดูจะไม่ได้เป็นรูปเป็นร่างเลยด้วยซ้ำ เพราะผ่านมา 7-8 เดือน ตัวนายกฯ นกแก้ว นอกจากจะไม่ได้ทำสิ่งใดมากกว่าการเดินเฉิดฉายโชว์เสื้อผ้าหน้าผม ก็ไม่เคยมีการมอบนโยบาย ไม่มีการประชุมเชิงยุทธศาสตร์ให้แก่ฝ่ายความมั่นคงในฐานะที่ตัวเองเป็น ผอ.กอ.รมน.โดยตำแหน่ง ส่วนเรื่องการเยื้องกรายลงไปในพื้นที่ไม่ต้องพูดถึงไม่เห็นแม้แต่เงา
นอกจากนั้น อีกตำแหน่งหนึ่งที่จะต้องพูดถึงก็คือ ตำแหน่ง เลขาฯ ศอ.บต. ที่มี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง นั่งเป็นหัวเรือใหญ่ เพราะถือเป็นสายตรงเด็กในบ้านของ นช.ทักษิณ แถมยังสนิทกับนายกฯ นกแแก้ว เป็นการเฉพาะ ทั้งนี้ การแต่งตั้งให้ พ.ต.อ.ทวีนั่งเก้าอี้ เลขาฯ ศอ.บต.กล่าวได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า ฝิดผาผิดตัวเต็มๆ เพราะพ.ต.อ.ทวี ไม่ใช่ลูกหม้อของกรมการปกครอง ไม่รู้ปัญหาของชายแดนใต้ดีพอ ที่ขีดเส้นใต้ไว้ก็คือ ปัญหาชายแดนใต้ซับซ้อนมากต้องใช้เวลาศึกษา และเป็นห่วงความรู้สึกของประชาชนที่เป็นมุสลิมกว่า 80% ที่มีความรู้สึกไม่ดีนักต่อภาพลักษณ์ของตำรวจ ดังนั้น จึงอย่าได้แปลกใจเลย หากจะได้ยินเสียงดังระงมมาตลอดว่า ไปนั่งกินตำแหน่งเพื่อรอขึ้นที่อื่นที่สูงกว่านี้เพียงเท่านั้น (อ่านรายละเอียดได้จากเรื่อง “ทวี สอดส่อง” นักบุญประชานิยม)
แน่นอนว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ ประชาชนย่อมต้องมีสิทธิ์ตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ความรุนแรงจะไปสิ้นสุดที่ใด และต่อจากนี้จะเกิดเหตุรุนแรงมากกว่าเดิมหรือไม่ เพราะตลอด 8 เดือนที่ผ่านมา ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ นายกฯ นกแก้ว เข้ามามีอำนาจบริหารประเทศ ยังไม่มีการทำงานใดที่ออกมาเป็นรูปธรรมต่อปัญหาในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ของไทยเท่าที่ควร ซ้ำร้าย ดูเหมือนจะยิ่งถอยหลังลงคลองไปมากกว่าเดิมเสียอีก