ผ่าประเด็นร้อน
กลายเป็นว่าเวลาที่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปเยือนต่างประเทศทีไรเป็นต้องทำให้คนไทยต้องอกสั่นขวัญแขวนไปทุกที ต้องลุ้นกันว่าไปเที่ยวนี้เธอจะไปปล่อยไก่ให้ขายขี้หน้าแบบไหนอีกหรือเปล่า
อย่างไรก็ดีอาจเป็นโชคดีหน่อยตรงที่การเดินทางไปเยือนต่างประเทศคราวนี้ไปแค่กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ที่รับหน้าที่ประธานอาเซียนหมุนเวียนกันไปตามวาระ ขณะเดียวกันเมื่อพิจารณาดูตัวผู้นำ อย่าง ฮุนเซน แล้วก็ถือว่าเบาใจลงมาได้บ้าง อย่างน้อยฝ่ายโน้นเรื่องความ “บ้านนอก” อดีตทหารป่า เรื่องภาษาอังกฤษก็คงพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่อาจเหนือกว่าตรงที่ “ความเขี้ยว” ความเจ้าเล่ห์ที่สะสมมานานเท่านั้น
สำหรับการเดินทางไปเยือนต่างประเทศครั้งล่าสุดของ นายกฯยิ่งลักษณ์ มีขึ้นตั้งแต่วันที่ 2 และเริ่มเข้าสู่วาระการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนทั้ง 10 ประเทศในวันรุ่งขึ้น ตามข่าวระบุว่า ผู้นำของไทยเตรียมเสนอ “ 3 เสาหลัก” เพื่อสร้างความพร้อมสำหรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียนในปี 2558 ฟังดูดีดูเท่ เหมือนมีภูมิความรู้อัดอย่างเต็มเปี่ยม แต่ที่ไหนได้นี่คือการ “อ่านโพย” ท่องจำ และก็ใช่ว่าจะหายใจได้ทั่วท้อง เพราะยังเป็นการท่องจำเป็นติดๆขัดๆผิดๆถูกๆ ซักถามก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้อยู่ในโพยอะไรประมาณนั้น
ที่ผ่านมารับรู้กันไปแล้วว่า นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไม่มีภูมิความรู้ ไม่มีความรู้รอบตัวเลยแม้แต่น้อย หากบอกว่าเป็นการจับผิดจนน่ารำคาญก็ได้ แต่มันก็เกิดขึ้นจริงซ้ำซาก ล่าสุดเกิดขึ้นขณะที่เดินทางลงพื้นที่เพื่อรับทราบสถานการณ์คาร์บอมบ์ที่ หาดใหญ่ ก็มีการปล่อยไก่มาอีกเรียก อำเภอหาดใหญ่ เป็น “จังหวัดหาดใหญ่” ครั้งแรกอาจเป็นการพลั้งเผลอ เพราะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจ มีความเจริญปากอาจพลั้งเผลอไปก็ได้ แต่เมื่อพูดซ้ำๆกันสองสามครั้ง มันก็แสดงให้เห็นว่า เธออาจพูดไปตามเข้าใจส่วนตัวจริงๆก็เป็นได้
แม้ว่านี่อาจไม่ไช่สาระสำคัญ เป็นแค่เรื่องปลีกย่อยน่ารำคาญของบางคนที่มองว่าเป็นการ “จับผิดกันทุกเม็ด” แต่ถ้ามองอีกมุมหนึ่งมันอาจเป็นเรื่องซีเรียส มองเห็นความรอบรู้ของคนที่เป็นผู้นำว่าเป็นแบบไหน เหมือนกับก่อนหน้านี้ที่เคยพูดเรื่อง หญ้าแพรก และเรือดันน้ำมาแล้ว
สำหรับการเดินทางไปเยือนต่างประเทศในแต่ละครั้ง อย่างที่บอกมาตั้งแต่ต้นว่าระยะหลังเริ่มมีสื่อต่างประเทศเริ่มรายงานออกมาในทางเยาะเย้ย ไม่ค่อยให้เครดิตกับผู้นำของไทยเท่าใดนัก หากสังเกตเริ่มตั้งแต่การไปร่วมประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจที่กรุงดาวอส ประเทศสวิสเซอร์แลนด์ ที่คราวนั้นเธอได้ขึ้นเวทีร่วมกับผู้นำอื่นๆที่มีบทบาทเกี่ยวกับสตรีโดยตอบคำถามของพิธีกร โดยเป็นครั้งแรกที่ไม่มีโพยอยู่ในมือ เป็นคำตอบสดๆ แม้จะเป็นคำถามพื้นๆ แต่กลายเป็นว่าถ้าใครที่พอเข้าใจภาษาอังกฤษอยู่บ้างรับรองว่าจะต้องก้มหน้ากับพื้นด้วยความอับอาย เพราะคำตอบของนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ไปคนละเรื่อง ประเภท “เรื่อยเปื่อย” หาสาระความหมายไม่ได้ อีกทั้งถ้าพิจารณาจากระดับภาษาอังกฤษของเธอแล้วทำให้ต้องตั้งคำถามว่า เธอไปเรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศจริงหรือไม่
ถัดมาก็เกิดขึ้นระหว่างนำคณะไปเยือนประเทศญี่ปุ่นเพื่อสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุน แต่ข่าวที่ออกมาจากสำนักข่าวต่างประเทศกลับระบุว่า นายกฯได้อ่านโพย 7นาทีเป็นภาษาไทยโดยไม่มีคำแปล และที่สำคัญไม่มีการเปิดโอกาสให้นักลงทุนเหล่านั้นได้ตั้งคำถามแต่อย่างได และก็ได้ผลเมื่อกลับมาถึงไทยได้ไม่นาน บริษัทผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ ทั้งฮอนด้า นิสสัน ต่างแถลงไปขยายการลงทุนในประเทศอินโดนีเซียกันขนานใหญ่
หากย้อนกลับไปในอดีตไม่นานนักก็ต้องยอมรับกันว่าไทยถือว่าเป็น “มหาอำนาจ”หนึ่งในอาเซียน อาจจะมีการแข่งขันกันในทีกับอินโดนีเซียในฐานะที่เป็นประเทศใหญ่มีประชากรกว่าร้อยล้านคน แต่ถ้าไทยขยับตัวเพื่อนบ้านต้องจับตาดูทุกครั้ง ที่สำคัญข้อเสนอของไทยมักจะได้รับการยอมรับเสมอ แต่มาวันนี้ทุกอย่างกำลังกลายเป็นตรงกันข้าม มีแต่ถูกมองข้าม ย่ำยีศักดิ์ศรีอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะเมื่อได้เห็น นายกฯ ยิ่งลักษณ์ เดินทางไปต่างประเทศทีไร คนไทยจำนวนไม่น้อยก็ต้องตามลุ้นว่าจะไปสร้างความอับอายขายหน้าอะไรให้เห็นอีก ดังนั้นนาทีนี้อย่าไปหวังในเรื่องการนำเสนอ “ความคิด” ที่แหลมคมในที่ประชุมอะไรเลย เอาแค่อ่านโพยภาษาอังกฤษตามที่ท่องจำเอาไว้ให้คล่องแคล่วก็ถือว่าเป็นบุญโขแล้ว !!