ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ ... รายงาน
โดยข้อเท็จจริง แผนการก่อวินาศกรรมภายในตัวเมืองหาดใหญ่คือ “ธง” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดนมาทุกยุคทุกสมัย นับตั้งแต่ขบวนการ “พูโล” ยังเป็นแกนนำ ซึ่ง “หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ” และ “หะยีดาโอ๊ะ ท่าน้ำ” ก็เคยสั่งการให้วางระเบิดสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่หลายต่อหลายครั้ง
ต่อมา เมื่อขบวนการ “บีอาร์เอ็นฯ” เป็นแกนนำในการก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดน ก็มีการวางระเบิดสถานีรถไฟชุมทางหาดใหญ่ในครั้งที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร รับตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีปีแรก และมี ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ เป็น มท.1 และเป็นที่มาของคำว่า “โจรกระจอก”
จากนั้น “หาดใหญ่” ก็ตกเป็นเป้าระเบิดอีกหลายครั้ง เช่น ระเบิดสนามบินนานาชาติหาดใหญ่เมื่อ 5 ปีก่อน ระเบิดหน้าห้างคาร์ฟูร์ และที่อื่นๆ โดยเฉพาะในย่านถนนเสน่หานุสรณ์ เขตเทศบาลนครหาดใหญ่ ซึ่งเป็นย่านการค้า และท่องเที่ยวที่มีชาวต่างประเทศเข้ามาท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก และเป็นย่านถนนคนเดิน
ทั้งนี้ เสียงระเบิดเพิ่งจะห่างหายไปเมื่อครั้งที่ พล.อ.พิเชษฐ วิสัยจร เป็นแม่ทัพภาคที่ 4 ต่อเนื่องด้วย พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ภัพภาคที่ 4 ในขณะนี้ เท่ากับว่าหาดใหญ่ไม่มีระเบิดยาวนานถึง 4 ปีเต็ม
โดยในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาบีอาร์เอ็นฯ เพียรพยายามลำเลียงวัตถุระเบิดเข้ามาในกลางใจเมืองหาดใหญ่หลายครั้ง เช่น นำมาซ่อนไว้ในรีสอร์ตแห่งหนึ่งน้ำหนักถึง 20 กก. แต่ถูกตรวจพบเสียก่อน และอีกหลายต่อหลายหน ที่ระเบิดทั้งหมดถูกสกัดไว้ได้ที่รอบนอกเมืองหาดใหญ่ หลายครั้งที่ชุดปฏิบัติการวางระเบิดที่มาฝังตัวในเมืองหาดใหญ่ถูกตรวจพบและหลบหนี ทำให้ระเบิดที่บีอาร์เอ็นฯ ต้องการให้เกิดขึ้นที่หาดใหญ่กลายเป็น “ระเบิดด้าน” มาตลอด
ดังนั้น คาร์บอมบ์ล่าสุดเมื่อ 31 มี.ค.จึงเป็นระเบิดที่บีอาร์เอ็นฯ ปฏิบัติการได้เข้าจุดโฟกัสตามที่ต้องการ เพราะ “ลี การ์เดนส์ พลาซ่า” คือโรงแรม และศูนย์การค้าที่ใหญ่ที่สุด สูงที่สุด และเป็นแหล่งรวมของนักท่องเที่ยวมาเลเซีย-สิงคโปร์มากที่สุด
ห้างหรู และโรงแรม 5 ดาว “ลี การ์เดนส์ พลาซ่า” จึงคือสัญลักษณ์ของหาดใหญ่ คาร์บอมบ์ที่เป็นสาเหตุของการตาย และเจ็บหลายร้อยคน จึงเป็นความเจ็บปวดของเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายที่ไม่สามารถป้องกัน “จุดยุทธศาสตร์” ทางเศรษฐกิจของจังหวัดชายแดนภาคใต้เอาไว้ได้
อีกประเด็นหนึ่งที่ “ลี การ์เดนส์ พลาซ่า” ตกเป็นเป้าหมายของการก่อวินาศกรรม เนื่องจาก “เสี่ยฮง” หรือ “วันชัย ลีละศิธร” เจ้าสัวใหญ่ผู้เป็นเจ้าของคือหนึ่งในผู้สนับสนุน “โครงการวิทยุเครื่องแดง” ซึ่งเป็นวิทยุแจ้งเหตุภาคประชาชนของ “กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า”
ดังนั้น ปฏิบัติการทำลาย “ลี การ์เดนส์ พลาซ่า” จึงเท่ากับเป็นการข่มขวัญกลุ่มทุนหาดใหญ่ที่ให้การสนับสนุนการสร้างความสงบสุขของ “กอ.รมน.”
การวินาศกรรม “กล่องดวงใจ” ของเมืองหาดใหญ่ในครั้งนี้ คงจะไม่ต้องไปกล่าวหาหน่วยงานของรัฐว่าหละหลวมในการป้องกัน หรือล้มเหลวในด้านยุทธศาสตร์ และยุทธวิธี เพราะเท่าที่เห็นการทำหน้าที่ของ พล.ท.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์ แม่ทัพภาคที่ 4 และ ผอ.กอ.รมน.ส่วนหน้า พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบช.ภ.9 และนายกฤษฎา บุญราช ผวจ.สงขลา ซึ่งมีการประชุมประสานงานกันโดยตลอด
รวมทั้งเห็นถึงความเข็มแข็งของเครือข่ายวิทยุเครื่องแดงของ “ศูนย์มณโฑ” ภายใต้การดูแลของ “มณฑลทหารบกที่ 42” ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า เมืองหาดใหญ่น่าจะรอดพ้นจากการก่อวินาศกรรมของบีอาร์เอ็นฯ ได้อย่างตลอดรอดฝั่ง แต่ทุกอย่างก็ไม่เป็นไปอย่างที่หลายฝ่ายคาดหวัง
เหตุผลสำคัญที่ทำให้การควบคุมพื้นที่เพื่อป้องกันเหตุร้ายในเมืองหาดใหญ่มีอุปสรรคคือ ณ วันนี้มีผู้คนจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้โยกย้ายเข้ามาอาศัยในเขตเทศบาลนครหาดใหญ่นับหมื่นคน ซึ่งมีทั้งกลุ่มที่โยกย้ายมาเพราะไม่ต้องการอยู่ในพื้นที่ 3 จังหวัด เพราะได้รับผลกระทบต่อวิถีชีวิตในเรื่องความไม่ปลอดภัย และกลุ่มที่แฝงเข้ามาอยู่เพื่อค้ายาเสพติด ทำผิดกฎหมาย ส่งยุทธภัณฑ์ขายให้แก่ “แนวร่วม” ในพื้นที่ 3 จังหวัด
และกลุ่มสุดท้ายคือ “แนวร่วม” ที่บีอาร์เอ็นฯ ส่งเข้ามาฝังตัวเพื่อประสานงานกับ “แกนนำ” ทั้งทางด้านการคลัง ด้านธุรการ และรอโอกาสในการก่อการร้าย
ยิ่งจำนวนผู้คนจาก 3 จังหวัดหลั่งไหลเข้ามาสู่นครหาดใหญ่มากเท่าไหร่ การป้องกันและการตรวจค้นยิ่งยุ่งยากมากขึ้น การแยกแยะ การระมัดระวังยิ่งทำได้ยาก เพราะสังคมของหาดใหญ่บางส่วน หรือบางพื้นที่กำลังถูก “กลืน” จนกลายเป็นสังคมของผู้คนจาก 3 จังหวัดชายแดนใต้แล้วด้วย
วันนี้จึงไม่ควรจะกล่าวโทษว่าใครผิด ใครถูก ที่ปล่อยให้แนวร่วมบีอาร์เอ็นฯ นำรถยนต์ที่ประกอบเป็นคาร์บอมบ์เข้าไปก่อวินาศกรรมโรงแรม และห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดจนเสียหายอย่างหนัก และที่หนักกว่าคือ เศรษฐกิจการค้า การท่องเที่ยวของเมืองหาดใหญ่อาจจะทรุดยาวอีกนับปี
แต่สิ่งที่ฝ่ายกองทัพ ปกครอง ท้องถิ่น ตำรวจ และรัฐบาลต้องเร่งดำเนินการคือ การสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นแก่ประชาชน และกับประเทศเพื่อนบ้านว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความด้อยประสิทธิภาพของหน่วยงานรัฐเพียงอย่างเดียว แต่มีปัจจัยอื่นๆ เป็นองค์ประกอบด้วย และต้องมีแผนการป้องกัน และการเผชิญเหตุที่ชัดเจน เพื่อเรียกความเชื่อมันของทุกภาคส่วนให้คืนมา
สิ่งที่หน่วยงานของรัฐไม่ว่าจะเป็น กอ.รมน. ตำรวจ หรือฝ่ายปกครองต้องปรับปรุงอย่างแรกคือ “การข่าว” เพราะงานการข่าวของทุกหน่วยไม่ลึก และกว้างเพียงพอ เช่น กอ.รมน.ทราบข่าวการประกอบคาร์บอมบ์ก่อนก่อเหตุครั้งนี้ที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส แต่ไม่ทราบว่าเป้าหมายอยู่ที่ไหน ซึ่งถือว่าเป็นการข่าวที่ล้มเหลว
ดังนั้น เฉพาะในเมืองหาดใหญ่ฝ่ายที่รับผิดชอบงานการข่าวต้องมี “สายข่าว” แฝงตัวอยู่ทุกชุมชนที่เป็นเป้าหมาย ต้องปรับปรุงหน่วยงานตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการโจรกรรมรถยนต์ และรถจักยานยนต์ไปประกอบคาร์บอมบ์ โดยใช้เจ้าหน้าที่ผู้มีความรู้ และความชำนาญในแต่ละด้าน ไม่ใช่ปล่อยใครก็ได้เข้ามาอยู่ในหน่วย แม้กระทั่งการตั้งด่านตามโรงแรม หรือในสถานที่ต่างๆ ก็ต้องใช้วิธีการพิเศษทั้งสิ้น
แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือ ความร่วมมือจากภาคประชาชน
เหตุการณ์ “ตึกนรก” 5 ชั่วโมงที่เกิดขึ้นกับโรงแรม และศูนย์การค้าลี การ์เดนส์ พลาซ่า ในครั้งนี้ ทำให้ได้เห็น “จุดบอด” มากมาย โดยเฉพาะแผนเผชิญเหตุที่ไม่มีประสิทธิภาพ ตั้งแต่การดับเพลิงที่กระท่อนกระแท่น อุปกรณ์ไม่ทันสมัย ผู้คน การสั่งงานที่ไม่พร้อม ขาดการประสานกับหน่วยงานอื่นๆ ของท้องถิ่น ทั้งที่เมืองหาดใหญ่เทียบได้กับมหานครที่มีตึกระฟ้าจำนวนมาก ซึ่งย่อมเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา
ดังนั้น เหตุการณ์ที่ห้าง และโรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซ่า จึงเป็นบทเรียนบทหนึ่งที่ “ท้องถิ่น” ต้องปรับกระบวนการทำงาน เพื่อให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของสถานการณ์ เพราะสถานการณ์เช่นนี้จะยังเกิดขึ้นกับเมืองหาดใหญ่ได้อีกหลายครั้ง หากภาครัฐบาลยังไม่มีช่องทางยุติการก่อการร้ายเพื่อแบ่งแยกดินแดนลงได้ในเร็ววัน
การที่ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า ระบุว่า ปฏิบัติการครั้งนี้ของบีอาร์เอ็นฯ เป็นผลจากการเปิดแผนเชิงรุกทางการเมืองของ กอ.รมน. ซึ่งเป็นการรุกทางการเมือง เช่น การเปิดพื้นที่พูดคุยเพื่อสันติภาพที่เริ่มได้ผล แสดงว่าบีอาร์เอ็นฯ กลัวการพูดคุย กลัวทหารไม่ใช้ความรุนแรง
ดังนั้น เมื่อบีอาร์เอ็นฯ กลัววิธีการรุกทางการเมือง สิ่งที่ต้องทำต่อไปคือ การเปิดพื้นที่พูดคุยต่อ และต้องไม่ใช้ความรุนแรงในการตอบโต้ แต่ในขณะเดียวกัน กอ.รมน.ต้องมีแผนทางยุทธวิธีในการป้องกันการก่อเหตุร้ายของบีอาร์เอ็นฯ ที่ได้ผลด้วย
ขอให้ความล้มเหลวในครั้งนี้ก่อให้เกิด “พลัง” จากภาคประชาชน และหน่วยงานของรัฐทุกหน่วย จะได้หันมาวางแผนป้องกันเหตุ สร้างแผนเผชิญเหตุ และพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถที่ตรงกับงาน
และที่สำคัญที่สุด ทุกหน่วยงานควรยุติการ “ค้ากำไร” หรือ “ค้าสงคราม” โดยเอาวิกฤตของประเทศชาติ และความทุกข์ยากของประชาชนเป็นโอกาส เพราะหากวันนี้ทุกฝ่ายยังไม่มี “เอกภาพ” ในการบูรณาการร่วมกัน เราคงจะเห็นภาพความสูญเสียอย่างที่เกิดขึ้นที่ห้าง และโรงแรมลี การ์เดนส์ พลาซา อีกนับครั้งไม่ถ้วน