คอลัมน์ : ด้ามขวานผ่าซาก
โดย...ปิยะโชติ อินทรสิวาส
การนำ ครม.ลงลุยภาคใต้ของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้วถึงต้นสัปดาห์นี้ โดยจัดฉากมอบหมายภารกิจให้บรรดารัฐมนตรีแยกย้ายกระจายกันไปลุยในจังหวัดต่างๆ บนแผ่นดินด้ามขวาน เพื่อให้เกิดภาพว่ารัฐบาลใส่ใจเอาจริงเอาจังกับโครงการพัฒนา และแก้ปัญหาในพื้นที่ ก่อนไปจบด้วยการรวมหัวประชุม ครม.สัญจรบนเกาะภูเก็ต ปิดฉากลงไปตามสคริปต์ที่วางไว้อย่างแทบไม่มีอะไรผิดพลาดเมื่อวันที่ 20 มีนาคม 2555
มีที่ดูจะนอกสคริปต์ไปหน่อย แต่ก็เป็นที่ฮือฮามาก และคนในสังคมได้วิพากษ์วิจารณ์กันพอหอมปากหอมคอก็น่าจะ 2 เรื่อง คือ กรณีขี่ยานกาลเวลาสู่อนาคตช่วงข้ามวันไปเซ็นในสมุดเยี่ยมรำลึกเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิถล่มจังหวัดพังงา ขณะจรดปลายปากกาบนกระดาษเป็นวันที่ 19 มีนาคม 2555 แต่ดันไปลงไว้เป็นวันที่ 20 มีนาคม 2555 กับกรณีตัวเงินตัวทองลอยขึ้นอืดในคลองหน้าปะรำพิธีรอต้อนรับนายกฯ และคณะที่จังหวัดภูเก็ต เหตุเกิดวันเดียวกัน
ไม่มีอะไรเป็นภาพที่น่าตื่นเต้นเร้าใจเลยสำหรับการประชุม ครม.สัญจรที่ภาคใต้ เวลานี้ภาพนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทยดูจืดชืดสนิทกับบทบาทภายใต้สคริปต์ที่มีคนเขียนให้อย่างไร ครม.สัญจรเที่ยวล่าสุดก็เล่นไปตามบทที่มีคนเขียนสคริปต์ให้แบบเดียวกัน
โครงการพัฒนาต่างๆ ในหลายจังหวัดของภาคใต้ รวมวงเงินงบประมาณที่ต้องเทใส่ลงไปกว่า 8 หมื่นล้านบาท ซึ่งในที่ประชุม ครม.สัญจรมีความพยายามสร้างฉากอนุมัติกันสวยหรู ทั้งโดยนายกรัฐมนตรีลงเล่นเอง หรือมอบหมายให้บรรดารัฐมนตรีที่ลงพื้นที่โครงการไปทำแอ็กอาร์ต ชี้นั่น สั่งการนี่ เพื่อให้พี่น้องประชาชนเข้าใจว่าเป็นผลงานของรัฐบาลภายใต้ปีกโอบของระบอบทักษิณนั้น
แท้จริงล้วนคิดริเริ่มโดยข้าราชการ แล้วใส่พานชงขึ้นไปให้นักการเมือง ไม่เชื่อลองไปรื้อเอกสารแผนงานต่างๆ ที่สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือสภาพัฒน์ดูก็จะพบว่า ทุกแผนงานโครงการมีกำหนดไว้ก่อนเรียบร้อยแล้ว
ว่ากันตามจริงการสร้างภาพของ ครม.สัญจรภาคใต้หนนี้ก็แทบไม่ต่างจากการประชุม ครม.ชุดนี้หนก่อนๆ และรวมเลยไปได้ถึง ครม.ในรัฐบาลอื่นๆ ที่เคยมีมาด้วย ซึ่งหากจะกล่าวให้ครอบคลุมก็น่าจะหมายได้ว่า มันเป็นเรื่องของนักการเมืองน้ำเน่าแบบเก่าๆ คร่ำครึ ไม่ว่าจะฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้านที่สลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นเสวยอำนาจ แล้วกัดกร่อนกลืนกินบ้านเมืองมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน
ความจริงถ้ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ต้องการเพิ่มการสร้างภาพให้เห็นถึงความจริงใจต่อการพัฒนาประเทศชาติ โดยเฉพาะกับพื้นที่ภาคใต้ที่ไม่ใช่ฐานเสียงหลักของพรรคเพื่อไทย ปัจจุบันก็ไม่มี ส.ส.แม้แต่คนเดียว แต่ต้องการสร้างภาพเพื่อทำการตลาดซื้อใจชาวสะตอ เหมือนที่ใช้เงินและนโยบายประชานิยมซื้อชาวสตรอเบอรี่ไปได้แล้ว ครม.ยิ่งลักษณ์สมควรที่จะสัญจรไปเปิดประชุมในพื้นที่ที่ระบอบทักษิณจุดไฟใต้ระลอกใหม่ขึ้น
และถ้าจะให้ได้ใจชาวสะตอเพิ่มขึ้นอีก ครม.ยิ่งลักษณ์ก็น่าจะใช้พื้นที่ชนบทของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้แก่ ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส กับอีก 4 อำเภอของจังหวัดสงขลา คือ สะบ้าย้อย เทพา นาทวี และ จะนะ เป็นสถานที่จัดประชุมสัญจรซะเลย แล้วอย่าใช้กองกำลังให้มากมายคอยคุ้มกัน เอาแค่ใช้เงินล่อหรือเกณฑ์เครือข่ายระบอบทักษิณมาต้อนรับให้คึกคักก็พอ ถ้าทำได้อย่างนี้ก็ถือว่าซื้อใจกันได้สุดๆ แหละ
ในความคิดผมมองว่าการจัดประชุม ครม.สัญจรที่ภูเก็ต และตัวนายกรัฐมนตรีเองกับบรรดารัฐมนตรีต่างๆ ที่ช่วยกันเดินสายสร้างภาพเที่ยวนี้ไม่น่าจะแตกต่างอะไรกับ “ลิเกหลงโรง”
กล่าวคือ กิจกรรมสร้างภาพของบรรดานักการเมืองไดโนเสาร์เหล่านั้น นอกจากจะนำไปเปรียบได้กับคณะลิเกการเมืองแล้ว การออกไปเล่นนอกทำเนียบฯ หรือนอกสภาก็ไม่ต่างอะไรกับการย้ายวิกโชว์นั่นเอง เพียงแต่เที่ยวนี้เกิดอยากย้ายโรงลงไปเล่นที่ภาคใต้ แบบหวังจะตีฐานเสียงของฝ่ายตรงข้ามอย่างพรรคประชาธิปัตย์นั่นเอง
มีเรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องที่เกิดขึ้นในเวลาเดียวกันกับ ครม.ยิ่งลักษณ์ ย้ายวิกลงภาคใต้ แล้วก็มีการออกแขกด้วยการโหมประโคมข่าวอย่างใหญ่โตก่อนเปิดการแสดง ช่วงโชว์ก็จัดฉากสร้างสีสันกันจนเป็นข่าวตีคู่กับ ครม.สัญจรได้แบบแทบไม่มีใครทิ้งห่างใคร นั่นก็คือ การออกมาวิพากษ์วิจารณ์การเมืองของนักวิชาการ “เสื้อกั๊ก” นายธีรยุทธ บุญมี
สิ้นเสียงการวิเคราะห์ของนายธีรยุทธไม่นาน เสียงวิพากษ์วิจารณ์ตอบกลับก็ดังระงมในสังคมไม่แพ้กัน โดยเฉพาะจากสื่อมวลชนและการจัดหนักเป็นพิเศษจากบรรดาฝีปากกล้าของเครือข่ายระบอบทักษิณ ทั้ง นปช.และพลพรรคเพื่อไทย
นักวิชาการเสื้อกั๊กออกมาวิพากษ์การเมืองเที่ยวนี้เป็นไปแบบกวาดดะไปหมด นอกจากจะแบ่งสังคมไทยออกเป็น 2 ขั้วอำนาจ คือ ฝ่ายอนุรักษนิยม ประกอบด้วย ชนชั้นกลาง ชนชั้นสูง ตุลาการ และพวกนิยมสถาบัน กับฝ่ายรากหญ้า ประกอบด้วย พวกคนยากจนในชนบท กลุ่มพ่อค้ารายย่อย แถมชี้ประเด็นว่าฝ่ายหลังกำลังขยายตัวเรื่อยๆ ขณะที่ฝ่ายแรกมีแต่ย่ำอยู่กับที่กับถดถอยลง
การชี้ประเด็นแบบนี้จึงถูกย้อนว่าเป็นไปตามสีเสื้อกั๊กที่เก๊าเก่าและหมองหม่น ซึ่งผมก็เห็นด้วย และอยากจะเพิ่มเติมด้วยว่า คนส่วนใหญ่ในสังคมไทย โดยเฉพาะคนส่วนใหญ่ที่เป็นนักวิชาการ หรือแม้กระทั่งคนส่วนใหญ่ที่เป็นสื่อมวลชน การมองสังคมของพวกเขาก็ไม่ต่างอะไรจากเห็นสีเสื้อกั๊กของนายธีรยุทธ ทั้งที่ยุคสมัยมันเปลี่ยนแปลงไปมากมายแล้ว
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมักชอบที่จะหยิบเอาเสื้อกั๊กเก๊าเก่าและหมองหม่นตัวนี้ นำไปปิดทับแผลกลัดหนองระบมในสังคมอันเกิดจากฝีมือการปู้ยี่ปู้ยำของนักโทษหนีคุกทักษิณ ชินวัตร และพลพรรคระบอบทักษิณอยู่บ่อยๆ เสียด้วย
เมื่อรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นำคณะลิเกการเมืองลงไปปิดวิกที่ภาคใต้เที่ยวนี้เปรียบเทียบได้กับ “ครม.หลงโรง” การออกมาวิพากษ์วิจารณ์สังคมของนายธีรยุทธ บุญมี แบบพระเอกโชว์เดี่ยวหนล่าสุดก็ไม่น่าจะแตกต่างจากนักวิชาการ “เสื้อกั๊กหลงยุค” นั่นแหละครับ หรือท่านผู้อ่านว่ายังไง?!?!