ระนอง - ชาวสะพานปลาระนอง ยื่นหนังสือถึงผู้ว่าฯ ขอลดค่าเช่าและค่าธรรมเนียมที่ราชพัสดุ
วันนี้ (27 ก.พ.) ที่ศาลากลางจังหวัดระนอง ตัวแทนประชาชนผู้เช่าที่ดินราชพัสดุย่านสะพานปลาระนองจำนวน 15 คน นำโดย นายทวี บุญยิ่ง อดีตนายกสมาคมประมงระนอง ได้ยื่นหนังสือพร้อมแนบรายชื่อประชาชน จำนวน 43 ราย ต่อ นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง เพื่อให้ช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนจากการเช่าที่ราชพัสดุ เช่น ขอลดอัตราค่าธรรมเนียมการต่ออายุสัญญาเช่าอาคาร ขอหยุดการเพิ่มอัตราค่าเช่าที่เพิ่มขึ้นอัตราร้อยละ 15 ของอัตราค่าเช่าเดิม ขอขยายเวลาการต่อสัญญาเช่าจาก 3 ปี เป็น 10 ปี ขอลดค่าธรรมเนียมในการโอนสิทธิในการเช่า เป็นต้น โดยมีนายถนัด หอมจันทร์ ธนารักษ์พื้นที่ระนอง ร่วมชี้แจงข้อเท็จจริงด้วย
นายทวี กล่าวว่า ที่ดินและอาคารราชพัสดุที่ประชาชนชาวสะพานปลาระนอง ทำสัญญาเช่าจากธนารักษ์พื้นที่ระนอง แต่เดิมพื้นที่บริเวณดังกล่าวเป็นเขตธุรกิจ แต่ปัจจุบันส่วนใหญ่ได้ใช้เป็นที่อยู่อาศัย ไม่ได้ค้าขายแล้ว จึงต้องการให้มีการเปลี่ยนจากเขตธุรกิจเป็นเขตที่อยู่อาศัย เพื่อขอลดค่าเช่าและค่าธรรมเนียม และให้มีการขยายสัญญาเช่าจากเดิมทุก 3 เป็น เป็นทุก 10 ปี
นายถนัด หอมจันทร์ ธนารักษ์พื้นที่ระนอง กล่าวว่า ที่ผ่านมา ทางธนารักษ์พื้นที่ได้ดำเนินการตามกฏระเบียบที่กรมธนารักษ์ กระทรวงการคลังกำหนด และอยู่ในเงื่อนไขท้ายสัญญาเช่าอยู่แล้ว ซึ่งไม่สามารถแก้ไขได้ในระดับพื้นที่ โดยการเช่าที่ราชพัสดุ ปัจจุบันมีการเช่าใน 2 รูปแบบ คือ การเช่าที่ดินเปล่าและการเช่าอาคาร ในส่วนของการเช่าที่ดิน ให้มีการเก็บอัตราค่าเช่าตามความเหมาะสมไม่เกินตางรางเมตรละ 4 บาทต่อเดือน ส่วนการเช่าอาคาร จะปรับเพิ่มร้อยละ 15 ทุก ๆ 5 ปี และค่าธรรมเนียมคิดปีละ 2 เดือนของค่าเช่า
ส่วนกรณีที่ให้เพิ่มสัญญาเช่าจากทุก 3 ปี เป็นทุก 10 ปีนั้น สามารถทำได้แต่ผู้เช่าต้องไปจดทะเบียนเช่ากับกรมที่ดิน ซึ่งจะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นด้วย คิดว่า ทุกคนคงไม่ต้องการ ส่วนกรณีที่ชาวบ้านเรียกร้องถึงความเดือดร้อน และรู้สึกไม่เป็นธรรมทางตนก็จะทำบันทึกข้อความเป็นรายงานส่งไปยังกรมธนารักษ์และกระทรวงการคลังต่อไป
นายพีระศักดิ์ หินเมืองเก่า ผวจ.ระนอง กล่าวว่า กฎระเบียบที่ออกมานั้นใช้บังคับทั่วประเทศ อาจจะมีบางพื้นที่สภาพการณ์เปลี่ยนแปลงไปจนชาวบ้านเกิดความรู้สึกว่ากฎระเบียบที่ออกมาไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง ซึ่งทางจังหวัดจะทำบันทึกส่งต่อให้กรมธนารักษ์รับทราบถึงปัญหาความเดือดร้อนเพื่อที่จะได้ดำเนินการแก้ไขต่อไป แต่หากประชาชนเห็นว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรมอีก ขอแนะนำให้ไปฟ้องร้องต่อศาลปกครองได้