ตรัง - ชาวบ้านตำบลลำภูรา อำเภอห้วยยอด ยังคงเดือดร้อนจากฟาร์มเลี้ยงหมูที่ปล่อยน้ำเสียลงในลำห้วยผลิตน้ำประปาจนปลาตายเกลื่อน รวมตัวยื่นหนังสือจี้จังหวัดเข้าไปจัดการอีกครั้ง
วันนี้ (13 ก.ค.) ชาวบ้านในพื้นที่หมู่ที่ 3,5,8 และ 9 ตำบลลำภูรา อำเภอห้วยยอด จังหวัดตรัง ประมาณ 50 คน ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนผ่านทาง นายพงศ์เทพ ประทุมสุวรรณ ป้องกันจังหวัดตรัง กรณีที่มีฟาร์มเลี้ยงหมูแห่งหนึ่งในพื้นที่ตำบลลำภูราปล่อยขี้หมูและน้ำเสียลงในลำห้วยน้ำขาว ซึ่งเป็นแหล่งน้ำดิบที่ใช้ในการผลิตประปาหมู่บ้าน จนทำให้ปลาในลำห้วยต้องตายลงไปเป็นจำนวนมาก อีกทั้งเมื่อเวลาเกิดฝนตก หรือมีลมพัดผ่าน กลิ่นของขี้หมูก็จะฟุ้งกระจายไปทั่ว
กระทั่งชาวบ้านในพื้นที่ตำบลลำภูราทนไม่ไหว จึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดตรัง สำนักงานสาธารณสุขอำเภอห้วยยอด สำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดตรัง และสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดตรังแล้ว แต่ปรากฏว่าไม่มีความคืบหน้าหรือมีการเข้าไปจัดการกับฟาร์มเลี้ยงหมูดังกล่าว โดยในเบื้องต้นทางสำนักงานปศุสัตว์จังหวัดตรัง ได้เข้าตรวจสอบฟาร์มดังกล่าวแล้ว แลได้แนะนำให้เจ้าของฟาร์มจัดทำบ่อบำบัดน้ำเสีย และบ่อทิ้งซากหมู รวมทั้งให้ฉีดน้ำยา EM เพื่อกำจัดกลิ่น แต่เจ้าของฟาร์มกลับนิ่งเฉยไม่ยอมปฏิบัติตามแต่อย่างใด
ล่าสุดเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2554 ที่ผ่านมา ทางองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ลำภูรา จึงได้ทำหนังสือแจ้งเตือน และขอระงับการต่อใบอนุญาตจัดตั้งฟาร์มเลี้ยงหมูดังกล่าว แต่ทางเจ้าของฟาร์มก็ยังคงเปิดดำเนินกิจการตามปกติ แกนนำชาวบ้านในพื้นที่ตำบลลำภูรา จึงได้เข้าหารือร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อขอให้มีการตั้งคณะกรรมการเข้าตรวจสอบ และเสนอให้สั่งปิดฟาร์มเลี้ยงหมูดังกล่าวโดยเร็ว ซึ่งหากเจ้าของฟาร์มยังจะดำเนินกิจการต่อทาง อบต.ลำภูรา ก็จะเข้าแจ้งความดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สำหรับฟาร์มเลี้ยงหมูดังกล่าวนั้น ผู้สื่อข่าวเคยได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในพื้นที่ตำบลลำภูรา และได้ลงไปตรวจสอบเพื่อนำเสนอข่าวไปแล้วครั้งหนึ่งเมื่อเดือนมิถุนายน 2554 แต่กลับถูกเจ้าของฟาร์รายนี้ข่มขู่ว่าจะฟ้องร้องดำเนินคดีต่อผู้สื่อข่าวให้ถึงที่สุด รวมทั้งร้องเรียนต่อผู้ว่าราชการจังหวัดตรัง โดยกล่าวหาว่าสื่อบิดเบือนข้อมูล แต่ต่อมาเมื่อความจริงปรากฏ และมีเจ้าหน้าที่จากสำนักงานปศุสัตว์ สาธารณสุข และหน่วยงานที่รับผิดชอบลงพื้นที่ตรวจสอบ เรื่องดังกล่าวจึงได้เงียบไป แต่ท้ายสุดฟาร์มดังกล่าวก็กลับมาสร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้านเหมือนเดิม