ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ - “เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้” ร่อนจดหมายเปิดผนึกจี้ ส.ส.ให้ให้เร่งเดินเครื่องการพิจารณาร่าง “พรบ.สัญชาติ” ที่ค้างเติ่งรอผ่านวาระที่สองและสามอยู่ในสภาฯ เพื่อแก้ปัญหาการคืนสัญชาติไทยให้กับคนไทยพลัดถิ่นก่อนที่จะมีการยุบสภา
วันนี้ (2 พ.ค.) เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการจากหลายสถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ รวมถึงนักวิชาการอิสระบางส่วนรวม 160 คน ได้ทำจดหมายเปิดผนึกส่งถึง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เรื่องขอให้เร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ เพื่อแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทยพลัดถิ่น โดยมีเนื้อหาดังนี้
ตามที่เครือข่ายแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทย : ไทยพลัดถิ่น ได้ผลักดันให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดนำร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระที่สองและสามนั้น
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ซึ่งได้ติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอด เห็นว่า การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ความสำคัญกับการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาของประชาชนผู้ไร้สิทธิในสังคมไทย เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งในฐานะสมาชิกรัฐสภาอันทรงเกียรติ
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันที่มั่นคงแก่คนไทยพลัดถิ่น ที่จะมีกฎหมายรับรองสิทธิความเป็นคนไทย อันจะส่งผลต่อการเข้าถึงทรัพยากรและสิทธิขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ จึงขอเรียกร้องมายังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน ดังนี้
1. แสดงเจตนารมณ์อันแจ้งชัดในการตราพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ..... ให้แล้วเสร็จในสมัยการประชุมนี้ และ 2. ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติด้วยความรับผิดชอบและมุ่งมั่น ในการพิจารณากฎหมายสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... โดยไม่ปล่อยให้สภาผู้แทนราษฎรไม่ครบองค์ประชุมเช่นที่ผ่านมา
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ขอย้ำว่าการแก้ไขปัญหาประชาชนเป็นรากฐานที่สำคัญของการปฏิรูปและสร้างสังคมไทยที่เข้มแข็ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจเพื่อให้บรรลุภารกิจสำคัญนี้ อันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นแก่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยในอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ พร้อมจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ได้มีการแนบรายชื่อนักวิชาการในเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ทั้ง 160 คนด้วย
วันนี้ (2 พ.ค.) เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการจากหลายสถาบันอุดมศึกษาในภาคใต้ รวมถึงนักวิชาการอิสระบางส่วนรวม 160 คน ได้ทำจดหมายเปิดผนึกส่งถึง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) เรื่องขอให้เร่งรัดการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ เพื่อแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทยพลัดถิ่น โดยมีเนื้อหาดังนี้
ตามที่เครือข่ายแก้ปัญหาการคืนสัญชาติคนไทย : ไทยพลัดถิ่น ได้ผลักดันให้รัฐบาลและสภาผู้แทนราษฎรเร่งรัดนำร่างพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. .... เข้าสู่การพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการพิจารณาในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร วาระที่สองและสามนั้น
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ซึ่งได้ติดตามความคืบหน้ามาโดยตลอด เห็นว่า การที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรให้ความสำคัญกับการพิจารณากฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาของประชาชนผู้ไร้สิทธิในสังคมไทย เป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่น่าชื่นชมเป็นอย่างยิ่งในฐานะสมาชิกรัฐสภาอันทรงเกียรติ
อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการสร้างหลักประกันที่มั่นคงแก่คนไทยพลัดถิ่น ที่จะมีกฎหมายรับรองสิทธิความเป็นคนไทย อันจะส่งผลต่อการเข้าถึงทรัพยากรและสิทธิขั้นพื้นฐานที่จำเป็นในการดำรงชีวิต และการพัฒนาคุณภาพชีวิตในระยะยาว เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ จึงขอเรียกร้องมายังสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทุกท่าน ดังนี้
1. แสดงเจตนารมณ์อันแจ้งชัดในการตราพระราชบัญญัติสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ..... ให้แล้วเสร็จในสมัยการประชุมนี้ และ 2. ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรอันทรงเกียรติด้วยความรับผิดชอบและมุ่งมั่น ในการพิจารณากฎหมายสัญชาติ (ฉบับที่...) พ.ศ. ... โดยไม่ปล่อยให้สภาผู้แทนราษฎรไม่ครบองค์ประชุมเช่นที่ผ่านมา
เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ ขอย้ำว่าการแก้ไขปัญหาประชาชนเป็นรากฐานที่สำคัญของการปฏิรูปและสร้างสังคมไทยที่เข้มแข็ง สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจึงต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความตั้งใจเพื่อให้บรรลุภารกิจสำคัญนี้ อันจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นแก่ประชาชนในระบอบประชาธิปไตยในอีกทางหนึ่ง
ทั้งนี้ พร้อมจดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ได้มีการแนบรายชื่อนักวิชาการในเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสังคมและองค์กรชุมชนภาคใต้ทั้ง 160 คนด้วย
