นครศรีธรรมราช - ส.ส.นครศรีธรรมราช อัด กฟผ.ต้องหยุดโรงไฟฟ้าถ่านหินก่อนวุ่นมากกว่านี้ ชี้แค่ปิดประตูสำนักงานทุกอย่างยังเดินเตรียมยกเรื่องเข้า กมธ.สภา นายก อบต.ท่าขึ้น แฉยังตระเวนแจกของไม่สนแรงต้านส่อตั้งทีมใหม่ลงพื้นที่หลังทีมเก่าทำงานล้มเหลว
ความเคลื่อนไหวของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในเรื่องของการดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินในพื้นที่ อ.หัวไทร และ อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งเต็มไปด้วยแรงต่อต้านโครงการอย่างหนักหน่วงและทวีความเข้มข้นขึ้นตามลำดับ โดยมีการยื่นคำขาดให้ กฟผ.ยุติโครงการ ปิดสำนักงานและย้ายบุคลากรออกจากพื้นที่ทั้ง 2 อำเภอโดยทันที
แต่ในความเคลื่อนไหวนั้นกลับพบว่า ทั้งสองอำเภอมีการปิดสำนักงานไปแล้ว แต่เป็นการปิดเพียงแค่ประตูเท่านั้น ส่วนความเคลื่อนไหวของบุคลากรในการทำงานด้านต่างๆนั้นยังคงเป็นไปตามปกติ โดยไม่สนแรงต้าน
ล่าสุดวันนี้ (21 มี.ค.) น.ส.พิมพ์ภัทรา วิชัยกุล ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะ ส.ส.พื้นที่ เปิดเผยว่า ในฐานะ ส.ส.พื้นที่นั้นได้ยืนยันชัดเจนมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า ไม่เอาทั้งนิคมอุตสาหกรรม และโรงไฟฟ้าถ่านหินเข้ามาในพื้นที่ การดำเนินการเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาได้ร่วมกับนายวิทยา แก้วภราดัย ส.ส.ในพื้นที่ อ.หัวไทร ยื่นญัตติต่อคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ของสภาผู้แทนราษฎร 2 ชุดคือ กมธ.กิจการองค์กรตามรัฐธรรมนูญ รัฐวิสาหกิจ องค์กรมหาชนและกองทุนสภาผู้แทนราษฎร และ กมธ.พัฒนาเศรษฐกิจ พร้อมเชิญตัวแทน กฟผ.มาพูดคุย และยืนยันว่าเมื่อลงพื้นที่ไปแล้วมีปัญหามีผลกระทบสร้างความตระหนกให้กับชาวบ้านควรที่จะปิดดำเนินการก่อน ซึ่งทาง กฟผ.ยอมรับที่จะดำเนินการ
“แต่เมื่อลงมาในพื้นที่พบว่าประตูสำนักงานนั้นปิดจริง การทำงานยังคงมีอยู่ภายใน ความพยายามของ กฟผ.ทำให้สร้างความหวาดวิตกกับชาวบ้าน กฟผ.ควรที่จะชัดเจนก่อนว่าจะทำอย่างไร ไม่ใช่ว่าไม่รู้ ไม่แน่จะสร้างหรือไม่สร้าง ทำเช่นนี้คิดว่าไม่ถูก หลังจากนี้หากยังคงเพิกเฉยจะมีการเชิญกรรมาธิการลงพื้นที่และจะทำเป็นหนังสือสรุปปัญหาทั้งหมดให้กับนายกรัฐมนตรี เพราะหากเป็นอยู่อย่างนี้ยืนยันว่ายอมไม่ได้ กฟผ.ต้องหยุดก่อนที่จะมีปัญหาบานปลายจนเกินแก้ไข” ส.ส.เจ้าของพื้นที่กล่าว
ขณะที่นายบุญโชค แก้วแกม นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าขึ้น เปิดเผยว่า นโยบายรัฐชัดเจนอยู่แล้วว่า ชาวบ้าน ชุมชน สามารถที่จะสร้างอำนาจการต่อรองกับรัฐบาลได้ และการแสดงการคัดค้านของประชาชนชาวท่าศาลา จึงชัดเจนอยู่แล้ว ไม่เห็นด้วยกับโรงไฟฟ้าแน่นอนอยู่แล้ว ผลกระทบที่สำคัญนั้นเป็นเรื่องที่ กฟผ.ไม่ควรสร้างความแตกแยกในสังคม และมีการยื่นคำขาดของคน กฟผ.เองในที่ประชุมกรรมาธิการ ฝ่าย กฟผ.เป็นคนพูดว่าจะยุติต่อหน้าหลายฝ่าย
“วันนี้ กฟผ.ยังไม่สนใจคนข้างล่างยังคงทำไปตามปกติราวไม่มีอะไรเกิดขึ้น ไม่มีการปฏิบัติตามข้อตกลง วานนี้ยังคงเดินหน้าแจกกระเป๋าในงานวัน อสม.ที่หน้าอำเภอท่าศาลา สะท้อนว่าไม่ได้ทำอะไรที่จะลดความขัดแย้งให้กับพื้นที่ผลกระทบ อดีตผู้ใหญ่บ้านคนหนึ่งที่ถูกมองว่ากำลังเตรียมพื้นที่ขายให้กับ กฟผ.หลายร้อยไร่นั้น มาวันนี้ได้พูดในที่ประชุมคณะกรรมการโรงเรียนวัดทางขึ้นแล้วว่า ที่เขาเตรียมพื้นที่นั้นหมายจะพัฒนาอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายธุรกิจจัดสร้างรีสอร์ทและธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง ยืนยันต่อหน้าชาวบ้าน และผู้นำชุมชนจำนวนมากว่า หากไฟฟ้าจะเข้ามาเขาไม่ขายให้แน่นอน สิ่งใดที่ส่งผลกระทบกับชาวบ้านเขาจะไม่ทำซึ่งเป็นการพูดต่อหน้าชาวบ้านทำให้ต่างรู้สึกดีขึ้น” นายก อบต.ท่าขึ้นกล่าว
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวภายใน กฟผ.เปิดเผยว่า ผู้ว่าการ กฟผ.ได้ทำหนังสือไปในทุกพื้นที่เป้าหมายการก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น โดยหนังสือดังกล่าวได้มาถึงเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เฉพาะที่นครศรีธรรมราช มีสาระสำคัญคือการสั่งยุติการทำงานทุกด้านชั่วคราว และให้ถอนกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งหมดกลับ กทม.โดยทิ้งเจ้าหน้าที่ไว้ที่ศูนย์ข้อมูล ที่ตั้งอยู่ในสถานีย่อยไฟฟ้าแรงสูง ริมถนนราชดำเนิน อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ที่มีลักษณะชำนาญพื้นที่และชำนาญงานโครงสร้างข้อมูลต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพียง 1-2 คนเท่านั้น เพื่อรอการประสานงานจากเจ้าหน้าที่ชุดใหม่ที่กำลังเตรียมทีมลงมาทำงานแทนชุดเก่าที่ทำหน้าที่ล้มเหลวในการสร้างมวลชนและความเข้าใจอย่างสิ้นเชิง และคาดว่าจะมีความชัดเจนภายในสิ้นเดือน มี.ค.54
ส่วนการทำงานในพื้นที่นั้นในเชิงลึกยังคงทำไปตามปกติทั้งในส่วนของการทำงาน CSR การสนับสนุนในแง่มุมต่างๆ เพียงแต่ไม่มีการเปิดเผยเท่านั้น ส่วนการนำกลุ่มประชาชนต่างๆ ไปท่องเที่ยวทัศนศึกษา ในวันที่ 22 มี.ค.54 จะเป็นเที่ยวสุดท้าย โดยการเดินทางของกลุ่มประชาชนชาว ต.สระแก้ว อ.ท่าศาลา หลังจากนั้นจะยุติการทำงานด้านการนำเที่ยวไว้ก่อน