ยะลา - ที่ปรึกษาสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย มองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ขณะที่ภาพของเยาวชนสตรีมุสลิมฝึกอาวุธ น่าจะไม่ใช่ในประเทศไทย
วันนี้ (20 ก.พ.) นายอับดุลอาซีส ตาเดอินทร์ ที่ปรึกษาสมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในขณะนี้สถานการณ์ด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้เพิ่มความรุนแรงมากยิ่งขึ้น มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าหน่วยข่าวด้านความมั่นคงไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ต้องมีการปรับปรุงทางด้านแหล่งข่าว ตนเองเข้าใจว่าการทำงานด้านความมั่นคงนั้น น่าจะเกิดความขัดแย้งกันภายในกองทัพ หรือว่าภายใน กอ.รมน.เองก็ตาม ต้องมีการปรับปรุง และต้องมานั่งวางแผนกันใหม่
แม้แต่ในเมืองยะลาเอง ที่เกิดเหตุคาร์บอมบ์ จะเห็นได้ว่ากว่าที่จะเข้ามายังตัวเมืองยะลาได้นั้น ต้องผ่านด่านตรวจ ของเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ และฝ่ายปกครอง หลายด่านมากทีเดียว แต่ว่าคนร้ายสามารถที่จะนำรถยนต์มาจอดได้อย่างง่ายดาย กำหนดในจุดไหนก็ได้ ที่จะก่อการ แสดงว่าหน่วยข่าวกรอง หรือการข่าวของหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องมีปัญหา จะต้องปรับปรุง ความเป็นเอกภาพน่าจะไม่มี ซึ่งในสิ่งที่หน่วยงานด้านความมั่นคงได้บอกว่าการแก้ปัญหา 7 ปี เดินมาถูกทางแล้วนั้น ทุกวันนี้กำลังเดินมาผิดทาง ต้องมีการปรับปรุงในการเดินแนวทางใหม่
สำหรับที่บอกว่า เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา เข้าใจก็ยังไม่เข้าใจ อย่าว่าแต่เข้าถึง ก็ต้องมีการปรับปรุงอย่างมากทีเดียว เพราะประชาชนในพื้นที่ต่างก็ได้รับผลกระทบอย่างมาก กลับไปสู่เมื่อ 6-7 ปี ที่แล้ว การซ้อมทรมานก็ยังมีอยู่ เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ตนเองได้รับการร้องเรียนว่ามีการซ้อมทรมาน กรณีการปล้นปืนที่ฐานปฏิบัติการกองร้อย15121 ฉก.นราธิวาสที่ 38 บ้านมะรือโบตก หมู่ที่ 1 ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส มีการจับตัวชาวบ้านมาซ้อมทรมาน ตนเองก็ได้นำผู้ที่ถูกซ้อมทรมานจาก ศปก.ตร.ไปตรวจร่างกายที่โรงพยาบาลศูนย์ยะลา เพื่อจะเอาผิดกับเจ้าหน้าที่ ตรงนี้แสดงให้เห็นว่ารูปแบบเดิมๆ ที่บอกว่าเงื่อนไขที่เกิดจากเจ้าหน้าที่รัฐยังคงมีอยู่
เพราะฉะนั้นคงยังเป็นปัญหา ถ้ารัฐ เจ้าหน้าที่รัฐสร้างเงื่อนไข ก็จะทำให้ผู้ก่อการเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยทางกลุ่มคนร้ายไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะเราส่งแขกไปให้เขา ตรงนี้ทางรัฐจะต้องมีการทบทวน และจะต้องมานั่งพูดคุยระหว่างผู้ที่ทำงานในพื้นที่ ผู้ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชน ผู้ที่ทำงานด้านกฎหมาย ทนายความ เอ็นจีโอต่างๆ ข้าราชการ ต้องมานั่งพูดคุยกันว่าจะต้องหาทางแก้ร่วมกันยังไง
สำหรับกรณีที่มีการแพร่ภาพกลุ่มเยาวชนสตรีมุสลิม อายุ 17 - 18 ปี มีการฝึกอาวุธนั้น เท่าที่ตนเองได้ดูภาพจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ Manager online มันน่าจะไม่ใช่ภาพในประเทศไทย เป็นภาพที่มาจากต่างประเทศ อาจจะเป็นประเทศเพื่อนบ้านของเรา เช่น อินโดนีเซีย หรือ ประเทศอะไรก็แล้วแต่ ไม่น่าจะเป็นประเทศไทย เพราะว่า ในลักษณะแบบนี้ยังไม่เคยมี ยังไม่เคยปรากฏเลยว่า เด็กสตรีมุสลิมอายุตั้งแต่ 17-20 ปี ฝึกอาวุธ และก็ชัดเจนในลักษณะอย่างนี้ก็ไม่มี
ตนว่าหน่วยการข่าวจะต้องปรับปรุงในเรื่องการข่าวอย่างมาก เพราะเคยมีความผิดพลาดเมื่อ 4 ปี ที่แล้วในกรณีฝึกอาวุธ เด็กเดินพาเหรด ของมหาลัยของคุณหญิงแม่ทางภาคกลางตอนบน แต่สายข่าวก็เอามาลง พาดหัวหนังสือพิมพ์ใหญ่โต ทำไปทำมาก็ ก็ทราบว่าเป็นเด็กเดินพาเหรดแต่งชุดทหาร ซึ่งสิ่งเหล่านี้ก็ต้องมีการตรวจสอบให้ดี ตรวจสอบให้ละเอียด เพราะภาพที่ได้เผยแพร่ออกไปจะทำให้เกิดความหวาดกลัว ต่อพี่น้องประชาชนในพื้นที่ นักลงทุนก็จะไม่มาลงทุน การท่องเที่ยวต่างๆ ก็จะกระทบ ซึ่งในปัจจุบันก็กระทบมากพออยู่แล้ว ถ้าไปประโคมข่าวในลักษณะอย่างนี้อีก ภาพที่น่ากลัวก็จะยิ่งมากขึ้น ตนเองไม่ทราบว่าหน่วยงานด้านความมั่นคง หรือ ทหาร มีจุดประสงค์อะไร ต้องการงบประมาณเพิ่มขึ้นหรือเปล่า
ประชาชนส่วนใหญ่ตั้งข้อสงสัย เพราะปัจจุบันงบประมาณของทหารลดลง หลังจากแยกจาก ศอ.บต.ไปแล้ว ทหารไม่สามารถที่จะคุมหน่วยงาน ศอ.บต. เหมือนในอดีตได้ เมื่อ พรบ.ศอ.บต.ผ่านไปแล้วนั้น งบประมาณของทหารก็ได้แยกออกไป และลดลง ตรงนี้มีหลายส่วนวิเคราะห์ และตั้งข้อสังเกต สิ่งที่ตนเองเป็นห่วงในขณะนี้คือ กลุ่มสตรีที่ทำประโยชนให้กับบ้านเมือง หากมีการรวมตัวทำกิจกรรมของกลุ่มสตรีมุสลิมในพื้นที่จะถูกเพ่งเล็ง และหลายๆ คนก็ไม่กล้าออกมารวมตัว และร่วมมือกันทำกิจกรรม เพื่อเด็กยากจน เพื่อเด็กกำพร้า
ปัจจุบันสามคมยุวมุสลิมเองมีกลุ่มสตรีที่ออกไปช่วยเหลือสังคม มีการไปเยี่ยมโรงเรียนตาดีกา ไปเยี่ยมคนยากคนจน ในระยะหนึ่งปีจะมีการเข้าไปพบปะกลุ่มเป้าหมาย ทุก ๆ เดือน มีสมาคมจันทร์เสี้ยวการแพทย์ สมาคมยุวมุสลิมแห่งประเทศไทย กลุ่มวามี่ มูลนิธิอัสสาลาม กลุ่มนักศึกษา มอ.ปัตตานี จะเข้าให้ทางด้านจิตวิญญาณ ให้ความรู้ในด้านศาสนา และให้ความรู้ทางด้านอาชีพ ที่มีความยั่งยืนต่อไป
ก่อนหน้านี้หลายหน่วยงานได้เข้าไปให้ความช่วยเหลือในเบื้องต้นไปแล้ว ส่วนของตนได้เข้าไปช่วยเหลือในระยะยาว ซึ่งได้รับบริจาคงบประมาณจาก บริษัท อิงเกรส ออโตเวนเจอร์ จำกัด จ.ระยอง ให้ทานมาประมาณ 200,000 บาท และ ที่ตนเองวิตกคือ กลุ่มสตรีอาจจะรวมตัวกัน และทำหนังสือขอความชี้แจงที่ชัดเจน ขอความชัดเจนว่าภาพนั้นคือใคร มาจากไหน เพราะว่าในภาพค่อนข้างจะมีความชัดเจน เห็นหน้าตา น่าจะสืบค้นได้ไม่ยากซึ่งในปัจจุบัน เมื่อดูรูปแล้วก็จะทราบว่าเป็นใคร เพราะภาพที่เด็กถือปืนนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัวมาก เป็นภาพที่อันตราย เป็นภาพที่ทำให้มองว่ามุสลิมมีความรุนแรง
ประกอบกับ พ.อ.บรรพต พูลเพียร โฆษกกอ.รมน.ภาค.4 ส่วนหน้า เปิดเผยว่า จากการตรวจสอบในฐานข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกอาวุธปืนให้กับกลุ่มสตรีมุสลิม อายุ 17 - 18 ปี เพื่อไปก่อเหตุร้ายต่างๆ ในพื้นที่นั้น ไม่มีในฐานระบบข้อมูล ไม่พบแต่อย่างใด
ส่วนการข่าวของสันติบาลในพื้นที่ ก็เปิดเผยว่า ยังไม่มีข้อมูลในส่วนนี้ และยังไม่ได้รับข้อมูลว่ามีการการฝึกอาวุธปืนแก่สตรีมุสลิม เพื่อไปก่อเหตุร้ายในพื้นที่แต่อย่างใด อย่างที่เป็นข่าวออกมาครึกโครม