ศูนย์ข่าวภูเก็ต - ปัญหาเจ๊ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวกำเริบอีกแล้ว อาทิตย์เดียวร้องเรียนถึง 3 ราย โหดสุดๆ เครื่องยนต์เสียเรียก 5 หมื่นบาท ส่งตำรวจเจรจาลดเหลือแค่ 3 พัน ผู้ว่าฯภูเก็ตทนไม่ไหวทั้งสถานทูต สถานกงสุลร้องเรียนเข้ามาตลอด ควงแขนผู้การตำรวจเรียกผู้ประกอบการกำหนดกฎกติกาใหม่ ยังฝ่าฝืนเจอคดีกรรโชกทรัพย์แน่นอน
นายวิชัย ไพรสงบ ผู้ว่าราชการจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยถึงการแก้ปัญหาเจ๊ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวว่า ปัญหาผู้ประกอบการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวกรณีที่เจ๊ตสกีเกิดปัญหาแล้วผู้ประกอบการเรียกค่าเสียหายสูงเกินกว่าความเป็นจริงหลายเท่าตัวนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอด ซึ่งที่ผ่านมาทางจังหวัดภูเก็ตและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับการร้องเรียนจากสถานทูต สถานกงสุล ของประเทศต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวถูกเอาเปรียบอยู่เป็นประจำ
ล่าสุดที่ร้องเรียนเข้ามาคือ นักท่องเที่ยวจากญี่ปุ่น ซึ่งเป็นผู้หญิงมาจากเมืองมาชิบะ ได้เช่าเจ๊ตสกีที่ให้บริการอยู่ที่หาดป่าตองเป็นเวลา 1 ชั่วโมง แต่เมื่อนักท่องเที่ยวนำเล่นสกีออกไปเล่นได้ประมาณ 20 นาที ปรากฎว่าเครื่องยนต์เสีย ผู้ประกอบการปล่อยให้นักท่องเที่ยวลอยอยู่กลางทะเลท่ามกลางฝนที่ตกลงมาอย่างหนัก จนเมื่อเลยเวลาเกิน 1 ชั่วโมง ผู้ประกอบการรายดังกล่าวได้ออกไปนำเจ๊ตสกีและนักท่องเที่ยวเข้าฝั่งพร้อมทั้งเรียกค่าบริการเพิ่มจากเดิมที่เช่าไปชั่วโมงละ 1,500 บาท
รวมทั้งทางกงสุลจีน ที่สงขลาได้โทรเข้ามาร้องเรียน กรณีที่นักท่องเที่ยวจากจีนได้เช่าเจ๊สกีออกไปเล่นที่หาดป่าตองเช่นกัน และเครื่องยนต์เสียหาย ทางผู้ประกอบการได้เรียกค่าเสียหาย 50,000 บาท
ตนจึงได้ให้ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตได้เจรจากับผู้ประกอบการ ปรากฎว่าหลังการเจรจาผู้ประกอบการเรียกค่าเสียหายตามความเป็นจริงเหลือแค่ 3,000 บาท และยังมีนักท่องเที่ยวจากออสเตรเลียอีกหลาย ซึ่งเมื่อนักท่องเที่ยวไม่ยอมจ่ายค่าเสียหายตามที่ผู้ประกอบการเรียก ทางผู้ประกอบการก็จะยึดพาสพอร์ตนักท่องเที่ยวไว้ บางรายมีการตามไปข่มขู่ถึงโรงแรมก็มี
นายวิชัย กล่าวว่า การกระทำของผู้ประกอบการดังกล่าวเป็นการสร้างความเสียหายให้กับการท่องเที่ยวของภูเก็ตอย่างมาก ที่เอาเปรียบนักท่องเที่ยว ซึ่งเรื่องนี้ ตนพร้อมด้วยผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ตยอมไม่ได้เด็ดขาดที่จะปล่อยให้ผู้ประกอบการเจ๊ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยวต่อไป
ในสัปดาห์หน้าจะเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปประชุมร่วมกับผู้ประกอบการเจ๊ตสกีที่หาดป่าตองและหาดอื่นๆ เพื่อที่จะแก้ปัญหาดังกล่าว ซึ่งเท่าที่ทราบปัญหานี้เป็นปัญหาเรื้อรังที่เกิดขึ้นที่จังหวัดภูเก็ตมานานแล้ว แต่ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ ซึ่งมาตรการในการแก้ปัญหาที่ตั้งใจไว้นั้นจะมีการขึ้นทะเบียนเจ๊ตสกีและผู้ประกอบการ รวมทั้งเด็กที่ให้บริการอยู่ที่ชายหาด (บีชบอย) ทั้งหมด เพื่อให้ทราบว่าใครเป็นใคร เมื่อมีปัญหาการร้องเรียนเข้ามาจากนักท่องเที่ยวจะสามารถดำเนินการกับผู้ที่เอาเปรียบนักท่องเที่ยวได้อย่างถูกร้องและรวดเร็ว
อย่างไรก็ตาม ทางจังหวัดต้องการที่จะให้ผู้ประกอบการเรียกค่าเสียหายจากนักท่องเที่ยวตามสภาพความเสียหายที่เกิดขึ้นจริง มากกว่าที่จะมาแก้ปัญหาเมื่อมีการเอาเปรียบนักท่องเที่ยวไปแล้ว
“การดำเนินการในครั้งนี้มีการตั้งกฎกติกาขึ้นมาใหม่ทั้งหมด ทุกคนจะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่วางไว้ ซึ่งจะเป็นธรรมทั้งผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว แต่หากยังฝ่าฝืนเรียกค่าเสียหายที่สูงเกินความเป็นจริงอาจจะมีโทษฐานกรรโชกทรัพย์” นายวิชัย กล่าวและว่า
ปัจจุบันเจ๊ตสกีที่ขึ้นทะเบียนและให้บริการอยู่ในภูเก็ตทั้ง 5 หาด ตามประกาศของจังหวัดภูเก็ตนั้นมีอยู่ 210 ลำ
สำหรับปัญหาเจ๊ตสกีเอาเปรียบนักท่องเที่ยว โดยการเรียกค่าเสียหายที่สูงเกินความเป็นจริงและรบกวนนักท่องเที่ยวนั้น ถือว่าเป็นปัญหาหนึ่งที่อยู่คู่กับการท่องเที่ยวของภูเก็ตมาโดยตลอด ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้ผู้ว่าฯภูเก็ตหลายๆท่านจะพยายามแก้ปัญหาด้วยการประกาศให้ภูเก็ตเป็นเขตปลอดเจ๊ตสกีก็ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะผู้ประกอบการจะใช้วิธีการซื้อเจ๊ตสกีใหม่มาสวมทะเบียนเก่า มีการกำหนดราคาค่าเสียหายของอะไหล่ มีการตั้งชมรมให้ดูแลกันเองก็ดำเนินการมาแล้วทุกวิถีทางก็ยังมีปัญหาการเอาเปรียบและรบกวนนักท่องเที่ยวเกิดขึ้นมาโดยตลอด ซึ่งล่าสุดแค่เพียงหนึ่งสัปดาห์มีการร้องเรียนจากนักท่องเที่ยวถึง 3 ราย และที่สำคัญเรียกค่าเสียหายเกินจริงหลายเท่าตัวมากๆ
ตำรวจเอาจริงเจอข้อหากรรโชกทรัพย์แน่
ด้าน พล.ต.ต.พิกัด ตันติพงศ์ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต เปิดเผยถึงมาตรการแก้ปัญหากรณีนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติร้องเรียนถูกผู้ประกอบการเจ็ตสกีให้เช่าตามชายหาดต่าง ๆ ที่อยู่ในพื้นที่ จ.ภูเก็ต โดยเฉพาะที่หาดป่าตอง เอารัดเอาเปรียบ ในส่วนของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า ขณะนี้ได้ดำเนินการตรวจสอบบัญชีรายชื่อผู้ประกอบการเจ็ตสกีทั้งหมดที่มีอยู่ในพื้นที่แล้วพบว่า มีประมาณ 200 ลำ เกินกว่าที่สำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 5 สาขาภูเก็ต ออกใบอนุญาตให้ดำเนินการถูกต้องตามกฎหมายที่กำหนดไว้เพียง 167 รายเท่านั้น ถือว่าที่เหลือดำเนินการโดยไม่ได้รับอนุญาตผิดกฎหมาย
วันที่ 8 กันยายน นี้ จะเรียกผู้ประกอบการทั้งหมดมาประชุมร่วมกัน พร้อมกับเจ้าหน้าที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหา และทำความเข้าใจ ร่วมกัน
การแก้ปัญหาจะเน้นบังคับการกฎหมายอย่างเข้มงวด หากพบว่า ผู้ประกอบการรายใดมีการเรียกเก็บค่าเสียหาย กรณีนักท่องเที่ยวนำเจ็ตสกี ออกไปแล้วขับเฉี่ยวชนกัน หรือเรือไปชนกับโขดหิน เกินจากความเป็นจริง และมีการข่มขู่นักท่องเที่ยว หากไม่ยอมจ่ายตามที่ผู้ประกอบการเรียกร้องตามที่ได้รับเรื่องร้องเรียนมาหลังจากนี้ จะต้องถูกดำเนินข้อหา “กรรโชกทรัพย์” อย่างแน่นอน
โดยเฉพาะกรณีที่มีข้อครหาว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ในเรื่องดังกล่าว เพราะที่ผ่านมานั้น เมื่อมีนักท่องเที่ยวไปแจ้งความที่ สภ.กลับได้รับคำตอบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจว่า ไม่สามารถดำเนินการใด ๆ ได้ นักท่องเที่ยวต้องไปตกลงกับทางผู้ประกอบการเองนั้น หลังจากนี้ หากพบว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจยังเพิกเฉยไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทั้งสิ้น เจ้าหน้าที่ตำรวจนายนั้นจะต้องถูกตรวจสอบทางวินัยเอง เพราะกรณีที่เกิดขึ้น สามารถตรวจสอบหาสาเหตุข้อเท็จจริง เพื่อดำเนินคดีขั้นเด็ดขาดได้
ทั้งนี้ เพราะปัญหาต่าง ๆ จะคลี่คลาย และสามารถแก้ไขได้เจ้าหน้าที่จะต้องเข้าไปดูแลอย่างทั่วถึง เด็ดขาด และชัดเจน ไม่ใช่เพิกเฉย จนกลายเป็นปัญหาเรื้อรังมาจนถึงปัจจุบันเหมือนอย่างที่ผ่านมา และสิ่งที่จะเพิ่มเข้ามากรณีเกิดปัญหาลักษณะนี้ขึ้นอีก คือ การตั้งคนกลาง ซึ่งคือ เจ้าของร้านรับซ่อมเจ็ตสกีที่อยู่ในพื้นที่ขึ้นมา เพื่อพิจารณาข้อเท็จจริง ต่อความเสียหายที่เกิดขึ้นกับเจ็ทสกี ที่นักท่องเที่ยวจะต้องชดเชยให้กับผู้ประกอบการตามความเป็นจริง ไม่ใช่ปล่อยให้ผู้ประกอบการเรียกเก็บได้ตามใจชอบเหมือนอย่างที่ผ่านมา
ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดภูเก็ต กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของผู้ประกอบการผิดกฎหมายนอกเหนือจากที่ได้รับอนุญาตจากสำนักงานขนส่งทางน้ำที่ 5 สาขาภูเก็ต ประมาณ 30 ลำ นั้น ประสานไปยังชมรมเจ็ตสกีแล้วว่า จะต้องเข้าไปดูแลทั้งหมด เพราะสภาพความเป็นจริงความต้องการเช่าเจ็ตสกีของนักท่องเที่ยวในแต่ละวันมีมากกว่า 167 ลำ ไม่ใช่ว่า จะทอดทิ้งส่วนที่ผิดกฎหมาย และหากสามารถแก้ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวได้แล้ว ก็เป็นหน้าที่ในส่วนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ว่า จะดำเนินการอย่างไร ให้เจ็ทสกีที่อยู่นอกระบบ เข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อให้ตรงตามความต้องการของนักท่องเที่ยว
อย่างไรก็ตาม ในกลุ่มผู้ประกอบการเจ็ตสกี ไม่ได้พบว่า มีเพียงกลุ่มผู้ที่มุ่งจะเอารัดเอาเปรียบนักท่องเที่ยวเท่านั้น แต่ยังมีอีกส่วนหนึ่งที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และระเบียบที่วางไว้อย่างถูกต้อง และมีการเรียกเก็บค่าเสียหายตามความเป็นจริงเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ซึ่งจะต้องดึงกลุ่มคนเหล่านี้เข้ามาเป็นแนวร่วม เพื่อจัดระเบียบกลุ่มผู้ประกอบการเจ็ตสกีให้อยู่ในกรอบเดียวกันทั้งหมด อันจะได้ประโยชน์ร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย คือ ผู้ประกอบการเจ็ทสกี และนักท่องเที่ยวไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ