นครศรีธรรมราช - รมว.สธ.เยี่ยมศูนย์พิชิตไข้หวัด 2009 ที่เมืองคอน วอนสังคมต้องยอมรับความจริงสถานการณ์ระบาด ลั่นใช้หลักวิชาการคุมโรคไม่ใช่การเมือง ยอมรับมีความผิดพลาดในการสื่อความหมาย เผยไข้หวัดสายพันธุ์ใหม่ระบาดซ้อนหวัดประจำปี และเป็นกันทั่วโลก
วันนี้ (11 ก.ค.) เมื่อเวลา 18.00 น. นายวิทยา แก้วภราดัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เดินทางเข้าตรวจเยี่ยมศูนย์ปฏิบัติการพิชิตไข้หวัด 2009 โรงพยาบาลมหาราช นครศรีธรรมราช หลังจากนั้นได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับสถานการณ์ของไข้หวัด 2009 ว่า มาถึงวันนี้ทุกคนต้องยอมรับความจริงว่าหวัด 2009 ระบาดแล้ว และระบาดซ้อนกับหวัดประจำปี ต้องตามต่อว่าไม่ใช่เฉพาะประเทศไทยมีแล้ว 135 ประเทศทั่วโลกเป็นไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 และมนุษย์เราต้องอยู่กับโรคนี้ต่อไปอีกนานพอสมควร
นายวิทยากล่าวต่อว่า สิ่งที่กระทรวงต้องทำอย่างหนักคือให้ความรู้กับประชาชนในการป้องกันตนเองไม่ให้เป็นไข้หวัด วิธีง่ายๆ ถ้าเป็นหวัดต้องอยู่บ้าน ไม่แพร่เชื้อ โดยใช้หน้ากากอนามัย และควบคุมความสะอาดด้วยการล้างมือเป็นต้น กระบวนการเช่นนี้ป้องกันได้จนกว่ามนุษย์จะผลิตวัคซีนป้องกันได้ ผู้ป่วยที่พบในปัจจุบันนี้เป็นนักเรียนกว่า 70 เปอร์เซ็นต์ ถ้าป่วยนักเรียนต้องหยุดอยู่กับบ้านและจะต้องไม่คิดเป็นวันขาด ครูต้องหาวิธีการในการสอนชดเชย และถ้าอยู่ในห้องเรียนพบเด็กป่วยครูต้องแยกออก ส่วนผู้ปกครองต้องระวัง
เมื่อถามว่าตัวเลขผู้ป่วยทุกวันนี้จะมีการมองไปถึงแนวคิดการปิดประเทศหรือไม่ นายวิทยา กล่าวว่า คำว่าปิดประเทศนั้นเป็นคำที่ถูกเปรยออกมาเท่านั้น ไม่เคยมีใครคิด ได้ไปติดตามและซักถามทีละคนแล้วทั้งนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านระบาดวิทยาก็ไม่ได้คิด องค์การอนามัยโลกก็ไม่ได้แนะนำให้คิดที่จะปิดประเทศแล้วเพราะโลกทั้งโลกมาอยู่ในประเทศไทยแล้ว ดังนั้นปัญหาคือการป้องกันตนเองไม่ให้เป็นโรคนี้
“เขาชี้แจงมาว่าให้เลิกนับคนป่วยเสียที การนับคนป่วยนั้นไม่ได้เป็นประโยชน์ แต่ในทางสำนักระบาดวิทยาเขาต้องใช้ตัวเลขนี้เพื่อดูการแปรเปลี่ยนอะไรหรือไม่ ต้องติดตามเพราะจำเป็น แต่ถ้าทุกคนไปติดตามว่าวันนี้จะตายกี่ศพ ติดเชื้อกี่คน ทุกครั้งที่มีตัวเลขผู้เสียชีวิต บุคลากรทุกคนใจแป้วทุกที และรู้สึกว่าเป็นความผิด ที่จริงแล้วผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ทั่วไปนั้นตัวเลขเรามีและมีผู้เสียชีวิตต่อปีถึงราว 300 คน นักวิชาการประมาณการว่าหากกระทรวงสาธารณสุขหละหลวมมีการประมาณตัวเลขผู้เสียชีวิตถึง 1,200 คน แต่กระทรวงสาธารณสุขตั้งเป้าว่าถ้ามีการตั้งเป้าที่ 1,200 สาธารณสุขจะลดตัวเลขนี้โดยการใช้ช่องทางพิเศษ แพทย์พยาบาลต้องเหนื่อยอีกเท่าตัวต้องทำงานมากขึ้นในการคัดกรองผู้ป่วยที่มีอาการหวัดต่างหาก แยกเฉพาะ เพื่อลดผู้เสียชีวิต”
นายวิทยายังกล่าวถึงแรงกดดันในทางการเมืองที่พุ่งเป้ามาที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขว่า ในเรื่องของไข้หวัดนี้ก็ถูกแปลไปในทางการเมือง ตนได้พยายามบอกไปว่าการเมืองนั้นมีข้อแนะนำอย่างไร แต่ถ้าการเมืองเป็นแรงกดมากมันจะมีผลในทางการเบี่ยงเบนในทางวิชาการ
“สิ่งหนึ่งที่ขอยืนนับตั้งแต่ระยะเวลาไข้หวัดใหญ่ 2009 ระบาด ผมไม่เคยใช้นโยบายการเมืองเข้าไปจัดการกับไข้หวัดใหญ่ แต่จะใช้ตามหลักวิชาการของนักระบาดวิทยา และนักวิชาการเป็นคนกำหนดทิศทางในการดำเนินการ และที่บอกว่ากระทรวงปกปิดความจริงนั้น วันนี้ต้องยอมรับว่ากระทรวงผิดพลาด ต้องยอมรับผิดในเรื่องของการสื่อความหมายในภาษาทางการแพทย์ เช่นบอกว่าให้ระมัดระวังกลุ่มเสี่ยง ซึ่งหมายถึงกลุ่มที่เป็นแล้ว และต้องระวังไม่ให้เสียชีวิต แต่วันที่มีผู้ป่วยเกิดขึ้นทุกคนมีความเสี่ยงเท่ากันเพราะมนุษย์ในโลกนี้ยังไม่มีภูมิคุ้มกัน แต่กลุ่มเสี่ยงที่กระทรวงให้โรงพยาบาลทุกโรงพยาบาลเฝ้าระวังคือเด็กที่มีอายุน้อย คนอายุมาก และคนมีโรคประจำตัวเข้าโรงพยาบาลต้องได้รับการดูแลเพราะเสี่ยงกับการเสียชีวิต” รมว.สาธารณสุขกล่าว