นาทีนี้ไม่รู้ว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 มียอดสะสมจำนวนที่แท้จริงว่ามีจำนวนเท่าใดกันแน่ เพราะจากการคำนวณคร่าวๆ ของปลัดกระทรวงสาธารณสุข นพ.ปราชญ์ บุณยวงศ์วิโรจน์ ที่หลุดปากโพล่งออกมาว่าน่าจะมีตัวเลขผู้ติดเชื้ออย่างไม่เป็นทางการเกือบ 2 แสนรายเข้าไปแล้ว
แม้ว่าถ้าดูตามตัวเลขที่รายงานโดยหน่วยงานของรัฐอย่างเป็นทางการล่าสุดเมื่อเวลา 16.00 น.วานนี้ (9 กรกฎาคม) มีผู้ติดเชื้อเพิ่ม 211 ราย รวมผู้ติดเชื้อทั่วประเทศจำนวน 2,925 ราย
แต่ที่น่าตกใจมากไปกว่านั้นก็คือ ในวันเดียวกันมีผู้เสียชีวิตติดๆ กันถึง 2 ราย และยังอยู่ในอาการโคม่าอีกราว 7-8 ราย
ทำให้ล่าสุดรวมผู้เสียชีวิตถึง 13 รายแล้ว
ตายกันเป็นใบไม้ร่วง!!
ถ้าพิจารณาตามตัวเลขผู้เสียชีวิตและติดเชื้อดังกล่าวอาจยังไม่มาก เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศทางตะวันตก อย่างยุโรป และอเมริกา แต่ถ้าดูตามสถิติตั้งแต่เริ่มแพร่ระบาดเข้ามาในประเทศไทยเมื่อเดือนมิถุนายนจนถึงปัจจุบันถือว่าจำนวนได้เพิ่มสูงขึ้นแบบก้าวกระโดดอย่างน่าตกใจ
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าผลการแพร่ระบาดอย่างลุกลามรุนแรงทำให้รัฐบาลได้ออกมามาตรการที่เข้มข้นมากขึ้นด้วยการสั่งปิดโรงเรียนกวดวิชาทั่วประเทศเป็นเวลา 15 วันตั้งแต่วันจันทร์ที่ 13-28 กรกฎาคม เนื่องจากเป็นสถานที่แพร่เชื้อมากที่สุด รวมไปถึงการขอความมือให้ร้านเกมและร้านอินเตอร์เน็ตทั่วประเทศปิดให้บริการในช่วงเวลาเดียวกันด้วย
ซึ่งมาตรการดังกล่าวของรัฐบาลที่ออกมาถือว่าเข้มข้นขึ้นมาพอสมควร เมื่อเปรียบเทียบกับกรณีที่เคยสั่งปิดโรงเรียนหลังจากพบผู้ติดเชื้อมาก่อนหน้านี้
แต่หลายฝ่ายมองเห็นตรงกันว่ามาตรการป้องกันและการควบคุมของรัฐบาล โดยเฉพาะกระทรวงสาธารณสุขในปัจจุบันยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ และล่าช้าเมื่อพิจารณาถึงความร้ายแรงของโรค และผลกระทบที่จะตามมาทุกด้านในอนาคต
เพราะต้องยอมรับว่า โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ 2009 ที่เริ่มแพร่กระจายมาจากประเทศเม็กซิโกเป็นประเทศแรกมีคนเสียชีวิตจำนวนมาก จนต้องสั่งปิดประเทศกันระยะหนึ่ง สร้างความตื่นตระหนกไปทั่วโลก และผลกระทบที่ตามมาก็คือความย่อยยับ ทางเศรษฐกิจ จนกระทั่งในเวลานี้ยังไม่ค่อยมีใครกล้าเดินทางไปท่องเที่ยวหรือเข้าประเทศ
ขณะที่ประเทศไทยแม้ว่าการแพร่ระบาดในสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่ถือว่าเข้าขั้นวิกฤตเมื่อเปรียบเทียบกับอีกหลายประเทศ แต่ถ้าเรายังไม่สามารถหยุดยั้งการติดเชื้อ หรือยังไม่มีมาตรการรับมือที่ได้ผลมากกว่านี้ ก็น่าเป็นห่วง
เพราะประเทศไทยถือว่ามีความเปราะบางแทบทุกด้านทั้งทางด้านการเมือง และเศรษฐกิจอยู่แล้ว แม้ว่าจะไม่เจอกับเชื้อหวัดมรณะ 2009 ก็ยังถือว่าหนักหนาสาหัสสากรรจ์จากผลกระทบวิกฤติเศรษฐกิจโลกที่คุกคามส่งผลกระทบอย่างหนักมาตั้งแต่ต้นปีมาแล้ว
ถือว่าเจอเข้าไป “สองเด้ง” เต็มๆ
เมื่อภัยร้ายแรงมาจ่ออยู่ตรงหน้า รัฐบาลจะต้องแสดงให้สังคมได้เห็นว่ามีความตื่นตัวในการรับมือและแก้ปัญหามากกว่านี้ แม้ว่าในปัจจุบันจะมีการมาตรการออกมาหลายอย่างก็ตาม แต่หากจับอารมณ์ของสังคมก็ต้องบอกอย่างตรงไปตรงมาว่า ยังไม่เพียงพอ และยังให้ความเชื่อมั่นไม่ได้
และที่สำคัญหากยังหยุดยั้งการแพร่ระบาดไม่ได้ หรือควบคุมอยู่ในวงจำกัดไม่ได้ ยังปล่อยให้มีการติดเชื้อ หรือการเสียชีวิตเป็นรายวัน ตายกันเป็นใบไม้ร่วงแบบนี้ต่อไป มันก็อาจก่อให้เกิดหายนะกับทุกฝ่ายได้เหมือนกัน
นอกเหนือจากชีวิตของชาวบ้านที่เป็นเรื่องใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดแล้ว ก็ยังต้องพิจารณาถึงความเสียหายทางด้านเศรษฐกิจ ที่เห็นได้ชัดก็คือผลกระทบทางด้านการท่องเที่ยว ซึ่งหลายฝ่ายตั้งความหวังว่าอาจจะโงหัวขึ้นมาในช่วงปลายปี แต่หากรัฐบาลสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้ ทุกอย่างก็นับถอยหลังได้เลย
ขณะเดียวกันสิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างหนึ่งก็คือ หากมาตรการที่ออกมาใช้ในการแก้ปัญหาไข้หวัดมรณะ 2009 ไม่ได้ผลแล้ว อาจยังต้องเจอกับโรค “ไข้หวัดนก” ที่จ่อแพร่ระบาดซ้ำในช่วงปลายฝนต้นหนาว ทุกปี หรือ “โรคซาร์ส” ที่อาจหวนกลับมาอีกรอบก็เป็นได้
แม้ว่าไม่มีใครอยากให้ตื่นตูม หรือตื่นตระหนกกันจนเกินเหตุก็ตาม แต่รัฐบาลต้องมีมาตรการเพื่อสร้างความมั่นใจให้มากกว่านี้ โดยเฉพาะนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะต้องแสดงภาวะผู้นำเพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์เลวร้ายไปสู่ภาวะวิกฤต
เพราะถ้าเอาไม่อยู่ นั่นหมายความว่าเค้าลางหายนะกำลังรออยู่ข้างหน้า!!