ศูนย์ข่าวหาดใหญ่ – “กรมการค้าต่างประเทศ” เดินสายชี้แจงและจัดเวทีสาธารณะรับฟังความเห็น รวมทั้งรับข้อเสนอแนะ เพื่อกำหนดมาตรการ รองรับการเปิดตลาดข้าวตามกรอบ AFTA ที่ไทยจะต้องลดภาษีเหลือ 0% นับตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2553 เป็นต้นไป โดยระดมเกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผู้ประกอบการโรงสีข้าว พ่อค้าข้าวและผู้ส่งออก รวมถึงผู้เกี่ยวข้องจากทั้ง 75 จังหวัดเข้าร่วมรวม 6 เวที ล่าสุดจัดที่สงขลา จากนั้นจะสรุปข้อมูลเสนอคณะกรรมการนโยบายแห่งชาติและ ครม.ให้นำไปสู่การออกมาตรการและกฎระเบียบ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อประเทศชาติและประชาชน
วันนี้ (22 มิ.ย.) ที่ศูนย์ประชานานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (มอ.หาดใหญ่) น.ส.ชุติมา บัณยประภัศร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานเปิดเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็นเรื่อง “การเปิดตลาดข้าวภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA)” ซึ่งได้มีการบรรยายร่วมของผู้แทนกรมการค้าต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้แทนกรมศุลกากร ในหัวข้อ “การเปิดตลาดสินค้าข้าวภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และแนวทางการเปิดตลาด”
จากนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผู้ประกอบการโรงสีข้าว พ่อค้าข้าวและผู้ส่งออก รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะ
น.ส.ชุติมาเปิดเผยว่า ตามที่กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ตกลงให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนหรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area) ประเทศไทยในฐานะเป็นสมาชิก AFTA มีพันธกรณีจะต้องลดภาษี และยกเลิกมาตรการโควตาภาษี สินค้าข้าวและสินค้าเกษตรอื่นๆ ซึ่งได้ดำเนินการลดภาษีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 และมีกำหนดจะต้องยกเลิกโควตานำเข้าและลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ซึ่งการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ผูกพันไว้ถือเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่เจรจาของไทย รวมถึงเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของไทยในภูมิภาคอาเซียน
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวต่อว่า เพื่อให้ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก ได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดข้าวตามพันธกรณีและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด กรมการค้าต่างประเทศได้รับมอบหมายจากกระทรวงพาณิชย์ให้หารือร่วมกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการพิจารณามาตรการรองรับเพื่อการบริหารจัดการข้าวนำเข้า และแนวทางการปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายในการรักษาคุณภาพมาตรฐานข้าวไทย คุ้มครองสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคข้าวไทย ป้องกันการระบาดของโรคและศัตรูข้าว รวมทั้งป้องกันการนำเข้าข้าวมาสวมสิทธิ์ในโครงการแทรกแซงของรัฐบาล และป้องกันการนำเข้าข้าวที่มีการตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) และเพื่อให้การบริหารจัดการข้าวนำเข้ามีความสมบูรณ์ โปร่งใส และสนองความต้องการของภาคประชาชนสังคม
ดังนั้น กรมการค้าต่างประเทศจึงได้จัดเวทีสาธารณะให้ทุกภาคส่วนของประเทศ ได้มีโอกาสร่วมแสดงความเห็น และเสนอแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากการเปิดตลาดข้าวภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) โดยจะจัดรวม 6 ครั้งครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ เริ่มที่จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เข้าร่วมจากพื้นที่ 10 จังหวัดภาคเหนือ ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดชัยนาท ผู้เข้าร่วมจากจากพื้นที่ 14 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลางตอนบน สำหรับครั้งนี้จัดที่จังหวัดสงขลา ครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงมาจนถึงจังหวัดนราธิวาส ส่วนอีก 3 ครั้งมีกำหนดจัดที่จังหวัดสุรินทร์ อุดรธานี และกรุงเทพฯ
น.ส.ชุติมา กล่าวด้วยว่า ข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการเปิดเวทีสาธารณะของกรมการค้าต่างประเทศทุกเวทีในครั้งนี้ กรมจะประมวลนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการเปิดตลาดข้าวตามพันธกรณี AFTA เพื่อออกกฎ ระเบียบ ให้มีผลใช้บังคับได้ทันวันที่ 1 มกราคม 2553 ทั้งนี้ผู้ที่มิได้เข้าร่วมการรับฟังความเห็น และผู้สนใจทั่วไปสามารถเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมได้ที่ website ของกรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือสายด่วน 1385 กรมการค้าต่างประเทศ
วันนี้ (22 มิ.ย.) ที่ศูนย์ประชานานาชาติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตหาดใหญ่ (มอ.หาดใหญ่) น.ส.ชุติมา บัณยประภัศร อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ (คต.) กระทรวงพาณิชย์ ได้เป็นประธานเปิดเวทีสาธารณะรับฟังความคิดเห็นเรื่อง “การเปิดตลาดข้าวภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA)” ซึ่งได้มีการบรรยายร่วมของผู้แทนกรมการค้าต่างประเทศ ผู้แทนกระทรวงเกษตรและสหกรณ์และผู้แทนกรมศุลกากร ในหัวข้อ “การเปิดตลาดสินค้าข้าวภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) และแนวทางการเปิดตลาด”
จากนั้นเป็นการเปิดโอกาสให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าว ผู้ประกอบการโรงสีข้าว พ่อค้าข้าวและผู้ส่งออก รวมถึงผู้เกี่ยวข้องในพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและให้ข้อเสนอแนะ
น.ส.ชุติมาเปิดเผยว่า ตามที่กลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนได้ตกลงให้มีการจัดตั้งเขตการค้าเสรีอาเซียนหรือ AFTA (ASEAN Free Trade Area) ประเทศไทยในฐานะเป็นสมาชิก AFTA มีพันธกรณีจะต้องลดภาษี และยกเลิกมาตรการโควตาภาษี สินค้าข้าวและสินค้าเกษตรอื่นๆ ซึ่งได้ดำเนินการลดภาษีมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2536 และมีกำหนดจะต้องยกเลิกโควตานำเข้าและลดภาษีเหลือร้อยละ 0 ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2553 ซึ่งการปฏิบัติตามพันธกรณีที่ผูกพันไว้ถือเป็นสิ่งสำคัญ และเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่เจรจาของไทย รวมถึงเป็นการสร้างความน่าเชื่อถือของไทยในภูมิภาคอาเซียน
อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ กล่าวต่อว่า เพื่อให้ประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก ได้ประโยชน์จากการเปิดตลาดข้าวตามพันธกรณีและเกิดผลกระทบน้อยที่สุด กรมการค้าต่างประเทศได้รับมอบหมายจากกระทรวงพาณิชย์ให้หารือร่วมกันหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐและเอกชน ในการพิจารณามาตรการรองรับเพื่อการบริหารจัดการข้าวนำเข้า และแนวทางการปฏิบัติ โดยมีเป้าหมายในการรักษาคุณภาพมาตรฐานข้าวไทย คุ้มครองสุขภาพอนามัยของผู้บริโภคข้าวไทย ป้องกันการระบาดของโรคและศัตรูข้าว รวมทั้งป้องกันการนำเข้าข้าวมาสวมสิทธิ์ในโครงการแทรกแซงของรัฐบาล และป้องกันการนำเข้าข้าวที่มีการตัดแต่งพันธุกรรม (GMOs) และเพื่อให้การบริหารจัดการข้าวนำเข้ามีความสมบูรณ์ โปร่งใส และสนองความต้องการของภาคประชาชนสังคม
ดังนั้น กรมการค้าต่างประเทศจึงได้จัดเวทีสาธารณะให้ทุกภาคส่วนของประเทศ ได้มีโอกาสร่วมแสดงความเห็น และเสนอแนะข้อมูลที่เป็นประโยชน์จากการเปิดตลาดข้าวภายใต้เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) โดยจะจัดรวม 6 ครั้งครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศ ระหว่างเดือน มิ.ย.-ก.ค.นี้ เริ่มที่จังหวัดเชียงใหม่ มีผู้เข้าร่วมจากพื้นที่ 10 จังหวัดภาคเหนือ ครั้งที่ 2 ที่จังหวัดชัยนาท ผู้เข้าร่วมจากจากพื้นที่ 14 จังหวัดภาคเหนือตอนล่าง และภาคกลางตอนบน สำหรับครั้งนี้จัดที่จังหวัดสงขลา ครอบคลุมพื้นที่ 14 จังหวัดภาคใต้ ตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงมาจนถึงจังหวัดนราธิวาส ส่วนอีก 3 ครั้งมีกำหนดจัดที่จังหวัดสุรินทร์ อุดรธานี และกรุงเทพฯ
น.ส.ชุติมา กล่าวด้วยว่า ข้อมูล ข้อคิดเห็น และข้อเสนอแนะที่ได้รับจากการเปิดเวทีสาธารณะของกรมการค้าต่างประเทศทุกเวทีในครั้งนี้ กรมจะประมวลนำเสนอต่อคณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณากำหนดแนวทางและมาตรการเปิดตลาดข้าวตามพันธกรณี AFTA เพื่อออกกฎ ระเบียบ ให้มีผลใช้บังคับได้ทันวันที่ 1 มกราคม 2553 ทั้งนี้ผู้ที่มิได้เข้าร่วมการรับฟังความเห็น และผู้สนใจทั่วไปสามารถเสนอความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมได้ที่ website ของกรมการค้าต่างประเทศ www.dft.go.th หรือสายด่วน 1385 กรมการค้าต่างประเทศ
