xs
xsm
sm
md
lg

ผู้ว่าฯคอนสั่งช่วยครอบครัว “เด็กหัวแตงโม” ที่ยากจนแถมถูกนายทุนไล่รื้อกระต๊อบ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


นครศรีธรรมราช – วอนผู้ว่าฯเมืองพระช่วยเหลือครอบครัว “หนูน้อยหัวแตงโม” ด้านเหล่ากาชาดและศูนย์ดำรงธรรมเมืองคอน รับลูกช่วยเหลือทันที เผย ความพิการครั้งนี้เป็นมาตั้งแต่เกิด หมอชี้พ่อแม่ทำใจอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี ฐานะยากจนผ่าตัด 2 ครั้ง แต่ รพ.มหาราช ใช้เงินกองทุนสมเด็จพระเทพฯ แถมครอบครัวเดือดร้อนหนักถูกนายทุนไล่ที่


ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.นครศรีธรรมราชว่า วันนี้ (11 มิ.ย.) ได้มีทนายความชื่อดังของจังหวัดนครศรีธรรมราชคนหนึ่ง (ขอสงวนชื่อ) ร้องเรียนขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือกับ นายภาณุ อุทัยรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช ขอให้เข้าไปช่วยเหลือครอบครัวของเด็กหัวแตงโม ปลูกกระท่อมอยู่บนพื้นที่คูเมืองนครศรีธรรมราช โดยกระท่อมเลขที่ เลขที่ 1/7 ซอยอินนิน ถนนพัฒนาการคูขวาง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช ซึ่งครอบครัวดังกล่าวพร้อมด้วยชาวบ้านอีก 8 ครัวเรือนกำลังถูกนายทุนเจ้าของกิจการหมู่บ้านจัดสรรชื่อดัง ขับไล่ให้รีบรื้อกระท่อมและสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดออกไปจากพื้นที่ ภายในวันที่ 24 มิ.ย.2552 นี้

นายภาณุ จึงสั่งการให้ นายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดนครศรีธรรมราช พร้อมด้วยคณะเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช นำโดย นางเตือนใจ ชีช้าง รองนายกเหล่ากาชาดจังหวัดนครศรีธรรมราช นำเครื่องอุปโภคบริโภค นมผงเลี้ยงเด็ก พร้อมเงินสดจำนวน 4,000 บาท เข้าไปให้การช่วยเหลือครอบครัวดังกล่าว โดยพบกับ นางปันทิมา โสภาการ อายุ 29 ปี เจ้าของบ้านซึ่งกำลังเลี้ยงดูแล ด.ญ.วิไลวรรณ โสภาการ หรือ “น้องใหม่” อายุ 7 เดือน ซึ่งเป็นเด็กพิการหัวแตงโม รวมทั้งลูกชายวัย 2 ขวบอีก 1 คน อาศัยอยู่ในกระท่อมโกโรโกโสจะพังมิพังแหล่ เจ้าหน้าที่ไม่สามารถขึ้นไปบนกระท่อมได้ทั้งหมด เพราะเกรงว่ากระท่อมที่ชำรุดทรุดโทรมจะพังลงมา โดยเมื่อ นางปันทิมา ทราบว่า มีเจ้าหน้าที่เข้ามาช่วยเหลือได้แสดงความดีใจเป็นอย่างมาก

นางปันทิมา เล่าให้เจ้าหน้าที่ฟังว่า ตนมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีธรรมราช ได้แต่งงานอยู่กินกับ นายวิภาค โสภาการ อายุ 29 ปี ซึ่งมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ จ.พัทลุง ปัจจุบันสามีทำงานเป็นช่างพ่นสีรถอยู่บริษัท อริยะมอเตอร์ ซึ่งเป็นบริษัทจำหน่ายรถจักรยานยนต์ จนมีบุตรด้วยกัน 5 คน เป็นผู้หญิง 4 ชาย 1 ซึ่งบุตรสาว 3 คน กำลังเรียนอยู่ชั้น ป.1 อนุบาล 3 และอนุบาล 1 ตามลำดับ ส่วนคนที่ 4 เป็นบุตรชาย อายุ 2 ขวบ ยังไม่ได้เข้าเรียน

สำหรับบุตรคนสุดท้อง คือ ด.ญ.วิไลวรรณ หรือ “น้องใหม่” เพิ่งคลอดได้ 7 เดือน และพิการหัวโต หรือที่เรียกว่า “หัวแตงโม” มาตั้งแต่เกิด น้องใหม่คลอดที่ รพ.มหาราช เมื่อวันที่ 29 ต.ค.2551 หลังคลอดแพทย์ระบุว่าให้พ่อแม่ทำใจ เพราะลูกที่คลอดจะอยู่ได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง แต่น้องใหม่สามารถมีชีวิตรอดมาได้ 9 วัน ถึงวันที่ 8 พ.ย.2551 แพทย์ได้ทำการผ่าตัดสมองของน้องใหม่ โดยฝังอุปกรณ์ที่ทางการแพทย์เรียกว่า “ชั้น” เอาไว้ มีสายยางต่อยาวมายังบริเวณหน้าอกซ้าย และต่อไปยังกระเพาะปัสสาวะ เพื่อให้น้ำที่คั่งในสมอง หรือกะโหลกศีรษะระบายไปยังกระเพาะปัสสาวะ โดยต้องใส่แพมเพอร์สไว้ที่อวัยวะเพศตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อรองรับน้ำที่ระบายไปจากศีรษะ

การผ่าตัดต้องมีค่าใช้จ่ายครั้งละ 3,660 บาท เป็นค่า “ชั้น” อุปกรณ์ทางการแพทย์ที่อยู่นอกเหนือบัญชีที่ทางรัฐบาลรับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเด็กพิการ แต่ตนไม่มีเงินจ่าย ทาง รพ.มหาราช จึงช่วยเหลือโดยการนำเงินจากกองทุนช่วยเหลือผู้ป่วยของ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯสยามบรมราชกุมารี มาช่วยเหลือจนได้รับการผ่าตัด และหลังการผ่าตัดแพทย์ระบุอีกว่า ขอให้พ่อแม่ทำใจ เพราะน้องใหม่จะอยู่ได้ไม่เกิน 2 ปี ต่อมาได้เข้ารับการผ่าตัดเปลี่ยนชั้นอีกครั้ง เมื่อวันที่ 30 มี.ค.2552 โดยได้รับการสงเคราะห์จากกองทุนของสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เช่นกัน

นางปันทิมา บอกด้วยว่า ตนดีใจมากที่สุดที่ทราบว่า ผู้ว่าราชการจังหวัด และเหล่ากาชาดยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ และตนมั่นใจว่า หากน้องใหม่ได้รับการรักษาดูแลอย่างใกล้ชิดจะมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า 2 ปีอย่างแน่นอน เพราะในปัจจุบันแพทย์ระบุว่าเด็กพิการหัวโตโดยทั่วๆ ไป เนื้อตัวของเด็กจะอ่อนไปหมด ซึ่งหมายถึงกระดูกจะอ่อน การเคลื่อนไหวจะยากลำบาก ไม่เหมือนเด็กทั่วๆ ไป

“แต่แปลกมากที่น้องใหม่อวัยวะทุกส่วนเป็นปกติ และมีพัฒนาการใกล้เคียงกับเด็กปกติมาก แพทย์ยืนยันว่า กรณีเหมือนน้องใหม่พบไม่มากนัก ก็อยากให้น้องใหม่อยู่กับครอบครัวนานที่สุดเท่าที่จะทำได้” นางปันทิมา กล่าวอย่างน่าสงสาร

สำหรับเรื่องการถูกไล่ที่นั้น ทางเจ้าของหมู่บ้านจัดสรรยื่นคำขาด ว่า ครอบครัวของตนจะต้องย้ายออกไปภายในวันที่ 24 มิ.ย.2552 เพราะทางเจ้าของหมู่บ้านจัดสรร อ้างว่า เขามีโฉนดที่ดินถูกต้องตามกฎหมาย และกำลังถมที่คูเมืองตลอดแนวมาจนเกือบถึงบริเวณที่ตนและชาวบ้านรวม 9 ครัวเรือน ปลูกกระท่อมคร่อมคูเมืองพักอาศัยอยู่มานานนับ 10 ปี บางครอบครัวอยู่มานานกว่า 20 ปี โดยตนและเพื่อนชาวบ้านทั้ง 9 ครอบครัว ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน ก่อนจะสร้างกระท่อมอยู่อาศัยกันนั้น ได้เข้าไปพบ นายสมนึก เกตุชาติ นายกเทศมนตรีนคร นครศรีธรรมราช แล้วว่า จะสามารถปลูกกระท่อมพักอาศัยในบริเวณใดได้บ้าง

“นายสมนึก ได้แนะนำว่า หากปลูกกระท่อมพักอาศัยชั่วคราว ก็ไม่มีปัญหาให้ปลูกคร่อมคูเมืองเก่าได้ โดยทางเทศบาลได้ออกบ้านเลขที่ให้ พร้อมอำนวยความสะดวกในเรื่องไฟฟ้า น้ำประปา และสิ่งสาธารณประโยชน์อื่นๆ ให้ แต่จู่ๆ เจ้าของหมู่บ้านจัดสรร กลับมาอ้างว่า ตัวเองเป็นเจ้าของคูเมืองเก่า โดยมีโฉนดที่ดินถูกต้อง พร้อมมาขับไล่ครอบครัวของตนและเพื่อนบ้านทั้งหมดให้ออกจากพื้นที่ ตนและเพื่อนบ้านไม่รู้จะทำอย่างไร จึงอยากให้ทางผู้ว่าฯ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องช่วยเหลือด้วย ซึ่งตนสงสัยว่าหากเจ้าของหมู่บ้านจัดสรรมีโฉนดที่ดินคูเมืองเก่าจริงๆ เขาออกโฉนดพื้นที่สาธารณะเก่าแก่ได้อย่างไร”

ในขณะที่ นายจารุมัย นพรัตน์ หัวหน้าศูนย์ดำรงธรรม กล่าวว่า หลังได้รับการร้องเรียนผู้ว่าราชการจังหวัดได้สั่งการตรวจสอบ และในเบื้องต้นพบว่า พื้นที่ในแนวดังกล่าวเป็นที่สาธารณะเป็นคูเมืองนครศรีธรรมราช ยาวจากทิศเหนือไปยังทิศใต้ระยะทางหลายกิโลเมตร ซึ่งเป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ของเมืองนครศรีธรรมราชมาแต่ตั้งโบราณ อยู่ดีๆ จะมีการออกโฉนดที่ดินให้คูเมืองเก่าเป็นกรรมสิทธิ์ของใครคนใดคนหนึ่งคงเป็นไปไม่ได้

ทางผู้ว่าราชการจังหวัดนครศรีธรรมราช จึงมีคำสั่งให้เจ้าของหมู่บ้านจัดสรรที่กำลังถมพื้นที่คูเมืองเก่ายุติการถมพื้นที่เอาไว้ก่อน การบุกรุกพื้นที่คูเมืองเก่าโดยมีการออกเอกสารสิทธิในครั้งนี้ จะต้องมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และทำกันเป็นขบวนการ และการบุกรุกสถานที่ประวัติศาสตร์ในลักษณะนี้ ถือเป็นเรื่องใหญ่ โดยจะมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงให้ชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้น และเกิดขึ้นได้อย่างไร หากพบว่าเป็นการกระผิดกฎหมายผู้ที่ร่วมกระทำผิดก็จะถูกดำเนินการตามกฎหมายทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น